กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สนองนโยบายรัฐบาลเต็มสูบ เปิดตัวมาตรการสนับสนุนเกษตรกรรับมือผลผลิตผลไม้ปี 2568 ที่คาดว่าจะสูงถึง 6.7 ล้านตัน ผ่านบริการ “EMS ส่งด่วนผลไม้” ด้วยอัตราค่าส่งพิเศษ เริ่มต้นเพียง 3 กิโลกรัม 60 บาท พร้อมระบบขนส่งคุณภาพสูง มุ่งแก้ปัญหาราคาตกต่ำ กระจายผลไม้สดใหม่ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ เริ่ม 1 เมษายน 2568
ทำเนียบรัฐบาล, ประเทศไทย – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยการนำของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในฐานะหน่วยงานภายใต้สังกัด เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสนับสนุนเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนชาวไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่าผลผลิตผลไม้ไทยในปี 2568 จะมีปริมาณสูงถึง 6.736 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำคัญในการบริหารจัดการเพื่อป้องกันปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและสินค้าล้นตลาด
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของภาคเกษตรกรรมต่อเศรษฐกิจไทย และนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลในการบริหารจัดการผลไม้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าวว่า “รัฐบาลตระหนักดีว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การบริหารจัดการผลผลิตประสบความสำเร็จคือระบบโลจิสติกส์และการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการกระจายผลผลิตจากแหล่งเพาะปลูกไปยังผู้บริโภคทั่วประเทศ
การขนส่งที่รวดเร็วและมีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความสดใหม่ของผลไม้ แต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของไทย รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขนส่งและกระจายผลผลิต ด้วยอัตราค่าบริการที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องเกษตรกรไทยทุกคน”
ทางด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้กล่าวตอบรับนโยบายดังกล่าว โดยยืนยันความพร้อมของไปรษณีย์ไทยในการเป็นกลไกสนับสนุนภาคเกษตรกรรม “ไปรษณีย์ไทย ในฐานะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงดีอี มีความมุ่งมั่นที่จะสนองนโยบายรัฐบาลอย่างเต็มกำลัง เราได้เตรียมแผนรองรับการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ” ดร.ดนันท์ กล่าว
ดร.ดนันท์ ได้ขยายความถึงแผนการดำเนินงานว่า “เราได้จัดเตรียมระบบเส้นทางขนส่งเป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปริมาณผลผลิตจำนวนมาก เพื่อร่นระยะเวลาการขนส่ง ลดขั้นตอนการคัดแยกและการเคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของผลไม้จากสวนส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ เรายังมีบริการเข้าไปรับฝากผลไม้ถึงสวน หรือ ณ ที่อยู่ของผู้ประกอบการร้านค้าผลไม้โดยตรง ซึ่งจากข้อมูลในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าเกษตรกรและผู้ใช้บริการต่างให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการ EMS ส่งด่วนผลไม้ของเราเป็นอย่างสูง สะท้อนจากปริมาณการจัดส่งผลไม้ตลอดทั้งปีกว่า 28 ล้านกิโลกรัม ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและความไว้วางใจที่ทุกท่านมีให้กับไปรษณีย์ไทย”
จุดเด่นสำคัญของบริการ “EMS ส่งด่วนผลไม้” ที่ ดร.ดนันท์ เน้นย้ำ คือความแข็งแกร่งของเครือข่ายที่เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ชุมชนเมืองไปจนถึงพื้นที่ห่างไกล ประกอบกับระบบการขนส่งที่ออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายย่อย หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการตลอดกระบวนการขนส่ง เพื่อรักษาคุณภาพของผลผลิตให้คงความสดใหม่เหมือนเพิ่งเก็บจากต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการรับฝาก การคัดแยก การขนส่ง ไปจนถึงการนำจ่ายถึงมือผู้รับปลายทางภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ ไปรษณีย์ไทยได้จัดโปรโมชันอัตราค่าบริการสุดพิเศษสำหรับบริการ EMS ส่งด่วนผลไม้ โดยเริ่มต้นเพียง 3 กิโลกรัมแรกในราคา 60 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราที่จูงใจและช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงบริการขนส่งคุณภาพได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการขนส่งสำหรับผู้ที่ต้องการส่งในปริมาณมาก ได้แก่ บริการเหมาจ่ายแบบกระบะน้ำหนัก 25 กิโลกรัม เริ่มต้นที่ 260 บาท โดยสามารถส่งได้สูงสุดถึง 50 กิโลกรัมต่อชิ้น
และสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องการขนส่งในปริมาณมากเป็นพิเศษ ยังมีบริการเช่าเหมา Roll Pallet ในราคาเริ่มต้นเพียง 800 บาท ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและคุ้มค่าในการจัดการขนส่งปริมาณมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น ไปรษณีย์ไทยยังได้จัดเตรียมบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการขนส่งผลไม้ ทั้งในรูปแบบของกล่องและตะกร้าที่มีความแข็งแรง ทนทาน และมีการระบายอากาศที่เหมาะสม เพื่อปกป้องผลไม้ไม่ให้ช้ำเสียหายระหว่างการขนส่ง
นอกเหนือจากการให้บริการขนส่งในอัตราพิเศษแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการขยายช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรไทย จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์และเว็บไซต์ Thailandpostmart (ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท) ขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเกษตรและผลไม้โดยตรงจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ เป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์
“การดำเนินการทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยสนับสนุนเกษตรกรในการรับมือกับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน ช่วยฟื้นฟูและขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทยให้สามารถบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ การทำให้ผู้บริโภคทั่วประเทศไทยสามารถเข้าถึงผลไม้ไทยคุณภาพดี สดใหม่ ส่งตรงจากสวนได้อย่างสะดวกสบาย” ดร.ดนันท์ กล่าวเสริม
ไปรษณีย์ไทยตระหนักดีว่า ผลไม้ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าเกษตร แต่ยังเป็นสื่อกลางในการส่งมอบความรัก ความห่วงใย และความคิดถึงให้กับคนสำคัญในโอกาสต่างๆ การส่งผลไม้ตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลำไย หรือผลไม้อื่นๆ จึงเปรียบเสมือนการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ไปรษณีย์ไทยจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เหล่านี้ และพร้อมที่จะส่งมอบทุกความรู้สึกดีๆ ผ่านผลไม้สดใหม่ คุณภาพเยี่ยม ไปยังทุกปลายทางทั่วประเทศไทย ด้วยบริการ EMS ส่งด่วนผลไม้ ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และใส่ใจในทุกขั้นตอน
#ไปรษณีย์ไทย #EMSส่งด่วนผลไม้ #ส่งผลไม้ #เกษตรกรไทย #ผลไม้ไทย #กระทรวงดีอี #ขนส่งผลไม้ #ราคาพิเศษ #ThailandPost #ThaiFruit #โลจิสติกส์เกษตร #สนับสนุนเกษตรกร #Thailandpostmart