ไปรษณีย์ไทยเดินหน้าเต็มกำลังสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยี ประกาศความพร้อมใช้งานระบบ “THP Core” แกนหลักดิจิทัลใหม่ภายในกันยายนปีนี้ หลังทดสอบเข้มข้น หวังแก้ปัญหาข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน พร้อมเตรียมเปิดตัว “Super App” รวมทุกบริการไว้ในแอปเดียว ตั้งเป้าผู้ใช้ 5 ล้านรายภายในสิ้นปี มุ่งสร้างประสบการณ์ลูกค้าไร้รอยต่อ ควบคู่โครงการ “Postman Cloud” ต่อยอดศักยภาพบุรุษไปรษณีย์สู่งานบริการรูปแบบใหม่ เผยงบลงทุนรวมเกือบพันล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายด้านความยืดหยุ่นและการสร้างความยั่งยืน
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์องค์กร กับภารกิจพลิกโฉมสู่การเป็น “Tech Post” หรือองค์กรไปรษณีย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีสองโครงการหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การพัฒนาระบบปฏิบัติการหลักใหม่ที่เรียกว่า “THP Core” และการสร้าง “Super App” เพื่อรวมศูนย์บริการลูกค้าทั้งหมดไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ซึ่ง ดร. ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดและความคืบหน้าล่าสุดของทั้งสองโครงการ
THP Core: แกนหลักใหม่ ปฏิวัติหลังบ้าน ปณท.
หัวใจของการทรานส์ฟอร์มครั้งนี้อยู่ที่ “THP Core” ซึ่ง ดร. ตฤณ อธิบายว่าเปรียบเสมือน “ก้างปลา” หรือกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบงานทั้งหมดของไปรษณีย์ไทย โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรดระบบเดิม แต่เป็นการสร้างแกนกลางข้อมูลและกระบวนการทำงานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาที่สะสมมานาน โดยเฉพาะความท้าทายในการบริหารจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ตามระบบต่างๆ กว่า 10-20 ระบบในอดีต
“ในอดีต การจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อขับเคลื่อนองค์กร (Data Driven Organization) เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะข้อมูลมาจากหลายแหล่ง หลายระบบ มีรูปแบบ (Format) และการกำกับดูแล (Governance) ที่แตกต่างกัน การรวบรวมข้อมูลเข้า Data Lake เพื่อนำมาวิเคราะห์ใช้เวลานานและลงทุนสูงมาก” ดร. ตฤณ กล่าว
THP Coreถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรง ด้วยการสร้างสถาปัตยกรรมข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Source of Truth) ทุกกระบวนการตั้งแต่การรับฝาก (ณ ที่ทำการไปรษณีย์ หรือจุดบริการ) การคัดแยกและส่งต่อ จนถึงการนำจ่าย จะถูกบันทึกและบริหารจัดการบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ใช้มาตรฐานข้อมูลเดียวกัน ทำให้การดึงข้อมูลไปใช้งานต่อยอด เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การวางแผนเส้นทางขนส่ง หรือการบริหารจัดการทรัพยากร ทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“พอเป็น THP Coreขั้นตอนการเตรียมข้อมูล การทำความสะอาดข้อมูล (Cleansing Data) มันแทบจะหายไป เราสามารถดึงข้อมูลที่อยู่ใน Format เดียวกันไปใช้ได้เลย จากเดิมที่ทีม Data อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ตอนนี้มันจะเร็วขึ้นมาก” ดร. ตฤณ ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์สำคัญ
ขณะนี้ THP Coreอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาและทดสอบ โดยกำลังทำการทดสอบนำร่อง (Pilot Stage) อย่างเข้มข้นที่ที่ทำการไปรษณีย์ 2 แห่ง คือที่ ภาชี ซึ่งเป็นตัวแทนที่ทำการขนาดเล็ก และหลักสี่ ซึ่งเป็นตัวแทนที่ทำการขนาดใหญ่ เพื่อทดสอบระบบเต็มรูปแบบ (Full Function) ในสภาพแวดล้อมและปริมาณงานที่แตกต่างกัน คาดว่าการทดสอบนำร่องจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ และตั้งเป้าหมายที่จะเปิดใช้งาน (Go Live) ทั่วประเทศ ทดแทนระบบเดิมทั้งหมด ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้
หนึ่งในฟังก์ชันสำคัญที่ THP Coreจะเข้ามาแก้ปัญหาคือความแม่นยำในการบันทึกข้อมูลพัสดุ ดร. ตฤณ ยกตัวอย่างปัญหาเดิมว่า “การบันทึกขนาดกล่องแค่ S, M, L ทำให้ข้อมูลไม่แม่นยำพอ กล่อง L อาจจะใหญ่มากหรือใหญ่ระดับหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการคำนวณปริมาตรเพื่อจัดสรรพื้นที่บนรถขนส่ง เราเคยพบว่าข้อมูลคลาดเคลื่อนถึงประมาณ 20% ทำให้เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความจุของรถได้อย่างเต็มที่”
ระบบใหม่จะรองรับการบันทึกข้อมูลมิติ (Dimension) ของพัสดุที่แม่นยำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้พนักงานคีย์ข้อมูลโดยตรง การใช้เครื่องสแกนวัดขนาด หรือเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดคือเครื่องสแกนอัตโนมัติที่ส่งข้อมูลเข้าระบบได้ทันที ซึ่งกำลังทดสอบประสิทธิภาพและความแม่นยำในโครงการนำร่อง หากผลเป็นที่น่าพอใจและสามารถลดความคลาดเคลื่อนลงเหลือเพียง 2-3% ก็มีแผนจะติดตั้งเครื่องมือนี้ในทุกที่ทำการภายในปีนี้เช่นกัน
นอกจากการทดสอบตัวระบบแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังดำเนินการ “ปรับปรุงกระบวนการ” (Reprocess) ควบคู่กันไปด้วย ดร. ตฤณ ย้ำว่า “การทำ Pilot ไม่ใช่แค่การเทสต์ระบบ แต่เราต้องมีแนวทางของกระบวนการทำงานแบบใหม่ออกมา เพื่อเขียนเป็นคู่มือปฏิบัติ และวางแผนปรับปรุงกระบวนการทั้งหมด มันไม่ใช่แค่เปลี่ยนระบบ แต่คือการเปลี่ยนวิธีการทำงานในรายละเอียดเกือบทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับเครื่องมือใหม่”
เพื่อให้รองรับการทำงานที่ซับซ้อนและปริมาณข้อมูลมหาศาล THP Coreถูกพัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมคลาวด์ทั้งหมด โดยเลือกใช้บริการของ AWS (Amazon Web Services) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง (Scalable) สามารถปรับเพิ่มลดทรัพยากรได้ตามปริมาณการใช้งานจริง หมดปัญหาเรื่องข้อจำกัดของ Server ที่ติดตั้งในองค์กรแบบเดิม ๆ ซึ่งส่งผลดีต่อความเร็ว ความเสถียรของระบบ ลดโอกาสที่ระบบจะล่ม และพร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น AI ได้ทันที
Super App: ประตูสู่ประสบการณ์ดิจิทัลครบวงจร
หาก THP Coreคือการปฏิวัติหลังบ้าน Super App ก็คือการพลิกโฉมหน้าบ้านเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าโดยตรง ดร. ตฤณ กล่าวว่า THP Core เป็นเพียง “ก้างปลา” ที่ลูกค้าอาจมองไม่เห็น แต่ Super App คือส่วนที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ
“เป้าหมายคือการรวมแอปพลิเคชันที่กระจัดกระจายของไปรษณีย์ไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีประมาณ 10 แอปสำหรับลูกค้าทั่วไป และอีกราว 5 แอปสำหรับกลุ่มเฉพาะ ให้มาอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว เป็น One Stop Service” ดร. ตฤณ อธิบาย “ลูกค้าไม่ต้องสับสนว่าจะใช้แอปไหนสำหรับบริการอะไร ทุกอย่างจะรวมอยู่ในที่เดียว”
แผนการคือจะทยอยย้าย (Migrate) ผู้ใช้งานจากแอปเดิมทั้งหมดมาสู่ Super App อย่างราบรื่นที่สุด โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2568 หรืออย่างช้าไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2569 จะต้องมีผู้ใช้งาน Super App นี้มากกว่า 5 ล้านคน ครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคลทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย (Seller) และลูกค้าองค์กร
แต่ Super App ไม่ได้หยุดอยู่แค่การรวมบริการเดิม ดร. ตฤณ มองไกลไปถึงการต่อยอดในอนาคต “เมื่อ Super App มีฐานผู้ใช้จำนวนมาก เราสามารถพัฒนาบริการดิจิทัลอื่นๆ เพิ่มเติมเข้าไปได้ อาจจะไม่ใช่แค่บริการไปรษณีย์อย่างเดียว แต่อาจรวมถึงบริการด้านไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่ทำให้ชีวิตลูกค้าง่ายขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต้องการเป็น Lifestyle Brand”
นอกจากนี้ Super App ยังถูกวางบทบาทให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนภารกิจภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายทางกายภาพ (Physical Network) “เราเป็นเหมือนแขนขาหนึ่งของภาครัฐที่ดูแลเรื่อง Physical ขณะที่อาจจะมีหน่วยงานอื่นดูแลเรื่อง Digital Payment อย่าง เป๋าตัง ถ้าภาครัฐมีนโยบายที่ต้องแจกจ่ายสิ่งของ หรือสำรวจข้อมูลภาคพื้นดิน Super App และเครือข่ายของเราก็พร้อมสนับสนุน ทำให้การช่วยเหลือหรือดำเนินนโยบายเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร. ตฤณ กล่าวเสริม
Postman Cloud: ปลดล็อกศักยภาพบุรุษไปรษณีย์
การนำ THP Core มาใช้งาน คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ราว 10-20% ซึ่งหมายถึงพนักงานจะมีเวลาว่างจากการทำงานรูทีนมากขึ้น แทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ไปรษณีย์ไทยเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากเวลาส่วนนี้ผ่านโครงการ “Postman Cloud”
“เราไม่ได้มองว่าประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่การลดคน แต่เราจะให้พนักงาน โดยเฉพาะพี่ ๆ บุรุษไปรษณีย์ ใช้เวลา 10-20% ที่เพิ่มขึ้น ไปทำงานบริการเสริมอื่นๆ ภายใต้ Postman Cloud” ดร. ตฤณ อธิบาย “นอกจากการส่งจดหมาย พัสดุ พวกเขาสามารถไปช่วยเก็บข้อมูล ทำแบบสำรวจ หรือให้บริการอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากพาร์ทเนอร์ เช่น ธนาคาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือแม้แต่สำนักงานสถิติแห่งชาติ”
โครงการนี้ไม่เพียงช่วยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ทั่วประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร และอาจรวมถึงตัวพนักงานเองด้วย เป็นการปรับเปลี่ยนบทบาทของบุรุษไปรษณีย์ให้เป็นมากกว่าผู้ส่ง แต่เป็นเครือข่ายที่น่าเชื่อถือในการให้บริการที่หลากหลาย
ความท้าทาย งบประมาณ และการสร้างความยั่งยืน
การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมมาพร้อมความท้าทาย ดร. ตฤณ ยอมรับว่า ความท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการ “ความยืดหยุ่น” (Flexibility) ในโครงการที่มีสัญญาและกรอบเวลาค่อนข้างตายตัวตามระเบียบภาครัฐ แต่ในโลกดิจิทัลที่เทคโนโลยีและความต้องการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การยึดติดกับแผนเดิมอาจทำให้ระบบที่ได้ไม่ตอบโจทย์เมื่อสร้างเสร็จ
“การพัฒนาเทคโนโลยีไม่เหมือนการสร้างตึกที่วางแปลนแล้วสร้างตามนั้นจนเสร็จ โลกดิจิทัลมันเปลี่ยนตลอดเวลา เราต้องสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน ต้องมีการสื่อสาร ทำ Change Request เพื่อให้โครงการเดินหน้าไปได้ และผลลัพธ์สุดท้ายตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการให้พาร์ทเนอร์ที่ทำงานร่วมกับเราสามารถจบงานของเขาได้ด้วย”
อีกความท้าทายคือ “การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน” (Communication & Alignment) เนื่องจากโครงการมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน การปรับเปลี่ยนจุดหนึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ทุกคนเข้าใจเป้าหมายและทิศทางตรงกัน
ในด้านงบประมาณ โครงการ THP Core มีมูลค่าสัญญาหลักอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการปรับปรุงหรือ Change Request อีกราว 20-30 ล้านบาท ส่วนโครงการ Super App มีงบประมาณอยู่ที่ประมาณ 46 ล้านบาท ซึ่งกำลังจะลงนามในสัญญาเร็ว ๆ นี้
มองไปในอนาคต ความท้าทายที่ใหญ่กว่าคือ “ความยั่งยืน” (Sustainability) ดร. ตฤณ ชี้ว่า แอปพลิเคชันหรือระบบดิจิทัลขนาดใหญ่ของภาครัฐหลายโครงการมักประสบปัญหา “ล้มเหลว” ในระยะยาว เพราะขาดงบประมาณต่อเนื่อง ขาดการพัฒนาให้ทันสมัย หรือไม่สามารถปรับตัวตามความต้องการของผู้ใช้ได้ทัน
“เราไม่อยากให้ THP Core หรือ Super App เป็นเหมือนตึกร้างในโลกดิจิทัล ดังนั้น โจทย์สำคัญคือต้องทำให้มันยั่งยืน สามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว” ดร. ตฤณ กล่าว “แนวทางหนึ่งคือการเปิดรับความร่วมมือกับภาคเอกชนมากขึ้น อาจจะเป็นในรูปแบบการร่วมทุน (JV) หรือที่ผมอยากทำมากคือ Venture Building คือเปิดให้ Tech Company หรือ Startup ที่มีนวัตกรรม เข้ามาร่วมพัฒนาฟีเจอร์หรือบริการใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์มของเรา โดยอาจมีโมเดลแบ่งปันผลประโยชน์ (Profit Sharing) กัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และสร้างรายได้กลับเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบ”
การเดินทางสู่ “Tech Post” ของไปรษณีย์ไทยครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การลงทุนในเทคโนโลยี แต่คือการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ เพื่อให้องค์กรเก่าแก่แห่งนี้สามารถปรับตัว เติบโต และยังคงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
#ไปรษณีย์ไทย #THPCore #SuperApp #DigitalTransformation #TechPost #ดรตฤณทวิธารานนท์ #โลจิสติกส์ #PostmanCloud #ดิจิทัล #คลาวด์ #DataDriven #ข่าวเศรษฐกิจ