ธนาคารกสิกรไทย โชว์ Q1/68 กำไร 1.37 หมื่นล้าน โตเล็กน้อย 1.08%

ธนาคารกสิกรไทย โชว์ Q1/68 กำไร 1.37 หมื่นล้าน โตเล็กน้อย 1.08%

ธนาคารกสิกรไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้เผชิญแรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยและเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวจำกัด ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ ตั้งสำรองฯ สูงถึง 9,818 ล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และเน้นการบริหารจัดการประสิทธิภาพ

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของธนาคารจำนวน 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 ที่ปรับปรุงงบการเงินใหม่แล้ว ผลประกอบการดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการประคองตัวท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบางและความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย กดดันผลการดำเนินงาน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้ให้มุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ว่ายังคงขยายตัวในกรอบจำกัด แม้ภาคการส่งออกจะได้รับอานิสงส์ชั่วคราวจากการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นภาษี แต่ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอ่อนแอ การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก เนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างเดิม การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มทั้งปี 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงกว่าปีก่อนหน้า ปัจจัยลบสำคัญนอกเหนือจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่จะส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการ ความตึงเครียดของสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นอีกครั้งจากการปรับขึ้นภาษีถือเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมที่อาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงไปอีก ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอาจช่วยพยุงได้เพียงบางส่วน เนื่องจากการบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศยังคงถูกกดดันจากปัญหาฐานะทางการเงินที่เปราะบางและภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ผลการดำเนินงาน Q1/68: รายได้ดอกเบี้ยลดลง แต่รายได้อื่นช่วยพยุง

เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ที่ปรับปรุงงบการเงินใหม่ตามมาตรฐาน IFRS 17) พบว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.23% สาเหตุหลักมาจากแรงกดดันของภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาด และการที่ธนาคารมุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.41%

อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยกลับเติบโตได้อย่างน่าพอใจ โดยเพิ่มขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) รายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่เพิ่มขึ้น แม้รายได้ดอกเบี้ยจะลดลง แต่การเติบโตของรายได้ส่วนอื่น ๆ ทำให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิลดลงเพียง 935 ล้านบาท หรือ 1.87%

ด้านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความพยายามในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income Ratio) อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 40.84%

ตั้งสำรองฯ สูงต่อเนื่อง สะท้อนความรอบคอบ

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ธนาคารกสิกรไทยยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังรอบคอบสูงสุด โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) เป็นจำนวนสูงถึง 9,818 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา การตั้งสำรองฯ ในระดับสูงนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ธนาคารมีกันชนที่แข็งแกร่งและเพียงพอ สามารถรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าปีก่อน รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

เทียบไตรมาสต่อไตรมาส กำไรจากการดำเนินงานฟื้นตัว

เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 กับไตรมาส 4 ปี 2567 (ที่ปรับปรุงงบการเงินใหม่) พบสัญญาณการฟื้นตัวบางส่วน โดยรายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน (FVTPL) และรายได้จากการลงทุน แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะยังคงปรับลดลงตามภาวะตลาด ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลงตามฤดูกาล ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ เพิ่มขึ้น 2,640 ล้านบาท หรือ 9.99% แตะระดับ 29,051 ล้านบาท

คุณภาพสินทรัพย์และฐานะเงินกองทุนยังแข็งแกร่ง

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 4,355,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.33% จากสิ้นปี 2567 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและทิศทางอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิปรับตัวลดลง ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยธนาคารยังคงเน้นย้ำนโยบายการขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ และการบริหารจัดการผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) ให้มีความเหมาะสม

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio – Gross) ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 3.19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 159.49% สะท้อนถึงระดับการกันสำรองที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในส่วนของความเพียงพอของเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง โดยอยู่ที่ระดับ 20.52% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอย่างมีนัยสำคัญ

ปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS 17

ตั้งแต่ต้นปี 2568 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งของธนาคารได้เริ่มปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย (IFRS 17) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ส่งผลต่อการรับรู้และจัดประเภทรายการในงบการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสะท้อนมูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจประกันภัยได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับปรุงงบการเงินรวมของปี 2567 เสมือนว่าได้ใช้มาตรฐานฉบับนี้ย้อนหลัง เพื่อให้ข้อมูลสามารถเปรียบเทียบกันได้ อย่างไรก็ตาม การนำมาตรฐาน IFRS 17 มาใช้ ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญต่องบการเงินรวมของธนาคารและบริษัทย่อย

ก้าวต่อไปด้วยความรอบคอบ มุ่งเน้นความยั่งยืน

นางสาวขัตติยา กล่าวย้ำว่า ท่ามกลางความท้าทายและความเสี่ยงสูงของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารและบริษัทย่อยจะยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน ตลอดจนการดูแลช่วยเหลือลูกค้าในมิติต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ผ่านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม การร่วมมือกับภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิตและธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 3+1 (การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน, การเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า, การเป็น Fintech แห่งภูมิภาค และการยกระดับขีดความสามารถ) และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ของธนาคารกสิกรไทย แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย แม้กำไรจะเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น ๆ รวมถึงการตั้งสำรองฯ ในระดับสูง และการรักษาฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบและการเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนในอนาคต ภายใต้การดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด

#KBank #ธนาคารกสิกรไทย #ผลประกอบการ #ไตรมาส1ปี2568 #กำไรธนาคาร #เศรษฐกิจไทย #KBANKผลประกอบการ #สินเชื่อ #NPL #สำรองหนี้สูญ #การเงินการธนาคาร #IFRS17 #ขัตติยาอินทรวิชัย #สงครามการค้า #ดอกเบี้ย #เศรษฐกิจโลก

Related Posts