มหกรรมฟินเทคระดับโลก Money20/20 Asia กลับมาเยือนกรุงเทพฯ ตอกย้ำศักยภาพศูนย์กลางการเงินดิจิทัล เผยรายงานล่าสุดร่วมกับ FXC Intelligence คาดการณ์มูลค่าการชำระเงินระหว่างประเทศในเอเชียแปซิฟิกเติบโตเกือบเท่าตัว แซงหน้าค่าเฉลี่ยโลก ชูประเด็นความร่วมมือและเทคโนโลยีใหม่เป็นกุญแจขับเคลื่อน พร้อมเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นผู้นำอุตสาหกรรม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บรรยากาศวันแรกของงาน Money20/20 Asia มหกรรมฟินเทคชั้นนำระดับโลก ซึ่งกลับมาจัดที่กรุงเทพมหานครอีกครั้งเป็นปีที่สอง เต็มไปด้วยความคึกคักของผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลก ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นเวทีสำคัญที่สร้างโอกาสทางธุรกิจและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินและเทคโนโลยี ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก การกลับมาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ยังมาพร้อมกับการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าจับตามองเกี่ยวกับอนาคตของการเคลื่อนย้ายเงินในเอเชีย
ไฮไลท์สำคัญของการเปิดงานวันแรกคือการเผยแพร่รายงานฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Money20/20 และ FXC Intelligence บริษัทชั้นนำด้านข้อมูลและข่าวกรองด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ รายงานนี้มีชื่อว่า ‘How Will Asia’s Money Move in the Future? 2025’s View of 2035’ (เงินของเอเชียจะเคลื่อนไหวอย่างไรในอนาคต? มุมมองปี 2025 ต่อภาพปี 2035) ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์และคาดการณ์ภูมิทัศน์การชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-border Payments) ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไว้อย่างน่าสนใจ
จากข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมจากบริษัทและผู้นำในอุตสาหกรรมกว่า 100 ราย รายงานคาดการณ์ว่า ปริมาณการชำระเงินระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าภายในปี พ.ศ. 2575 (ค.ศ. 2032) แตะระดับมูลค่าสูงถึง 23.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 12.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) อัตราการเติบโตดังกล่าวไม่เพียงแต่สูงเท่านั้น แต่ยังแซงหน้าค่าเฉลี่ยการเติบโตทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะส่งผลให้ส่วนแบ่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในตลาดการชำระเงินระหว่างประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32.2 ในปี 2567 เป็นร้อยละ 36.8 ภายในปี 2575
ความร่วมมือและเทคโนโลยี: กุญแจสู่อนาคตการเงินเอเชีย
รายงานฉบับนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การคาดการณ์ตัวเลขการเติบโต แต่ยังเจาะลึกถึงปัจจัยขับเคลื่อนและแนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในอีกทศวรรษข้างหน้า ประเด็นที่โดดเด่นที่สุดคือ “การทำงานร่วมกัน” (Collaboration) ซึ่งผู้นำในอุตสาหกรรมถึงร้อยละ 88 มองว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออนาคตการชำระเงินของเอเชีย นอกจากนี้ ร้อยละ 91 ยังเชื่อมั่นว่าความร่วมมือจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในอนาคต
นอกเหนือจากความร่วมมือแล้ว เทคโนโลยีและนวัตกรรมก็เป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญ ผู้นำอุตสาหกรรมร้อยละ 66 เชื่อว่าระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (Real-time Payment Systems) จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่แพ้กัน ตามมาด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallets) ที่ร้อยละ 59 ให้ความสำคัญ พร้อมด้วยแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติมจากเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่น่าจับตา เช่น โครงการสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currencies – CBDCs), สินทรัพย์ดิจิทัลหรือเหรียญคริปโทฯ ที่มีมูลค่าคงที่ (Stablecoins), การชำระเงินผ่าน QR Code และการเชื่อมต่อผ่าน Application Programming Interface (API)
พฤติกรรมผู้บริโภค นโยบาย และนวัตกรรมเอกชน: สามพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในอนาคต รายงานระบุว่า นโยบายด้านกฎระเบียบ (Regulatory Policy) เป็นปัจจัยที่ผู้นำในอุตสาหกรรมให้ความสำคัญสูงสุดถึงร้อยละ 86 ตามมาด้วยพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี (Technological Innovation) ที่ร้อยละ 79 เท่ากัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสานรวมกันของนโยบายที่เอื้ออำนวย พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ
ในแง่ของประเภทการชำระเงิน แม้ว่าการชำระเงินระหว่างธุรกิจ (B2B) และการชำระเงินจากผู้บริโภคไปยังธุรกิจ (B2C/C2B) จะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่อยู่ แต่รายงานคาดการณ์ว่าการชำระเงินแบบ B2C (หรือ C2B ซึ่งสะท้อนการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค) จะมีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุด โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการในรูปแบบสมัครสมาชิก (Subscription Services)
ความท้าทายและความหวังของการเชื่อมต่อข้ามพรมแดน
แม้แนวโน้มการเติบโตและการพัฒนาเทคโนโลยีจะเป็นไปในทิศทางบวก แต่การสร้างระบบนิเวศการชำระเงินระหว่างประเทศที่ราบรื่นไร้รอยต่อในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงมีความท้าทาย โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Project Nexus ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานและแนวทางการเชื่อมต่อระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ระหว่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในรูปแบบต่างๆ ได้เริ่มวางรากฐานที่สำคัญแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้นำในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงมองว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรม กฎระเบียบ และความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศและภูมิภาคย่อย อาจทำให้การเกิดโซลูชันเดียวที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค (a single dominant solution) ยังเป็นสิ่งที่อาจไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
เสียงสะท้อนจากผู้นำอุตสาหกรรม
คุณ Scarlett Sieber, Chief Strategy และ Growth Officer ของ Money20/20 ได้ให้มุมมองต่อผลการศึกษาครั้งนี้ว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็วกำลังเกิดขึ้นอย่างเห็นได้อย่างมีนัยสำคัญในด้านของการดำเนินธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งในอีกสิบปีข้างหน้าสิ่งสำคัญที่สุดคือการกำหนดโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” เธอกล่าวเสริมว่า “อนาคตของภูมิภาคเอเชียไม่ได้ขึ้นอยู่กับรากฐานหนึ่งเดียวที่เหมาะสมกับทุกคนในอุตสาหกรรม แต่ต้องพึ่งรากฐานของวงการทั้งหมดที่เชื่อมโยงกัน และสามารถสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการยอมรับในระดับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง”
ด้าน คุณ Daniel Webber, ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ FXC Intelligence กล่าวเสริมว่า “ภูมิทัศน์ด้านการชำระเงินของภูมิภาคเอเชียกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความซับซ้อนอย่างมากเช่นกัน ซึ่งรายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันอย่างตั้งใจระหว่างประเทศและภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามามีบทบาท เพื่อให้เกิดระบบนิเวศทางการเงินที่ครอบคลุมอย่างแท้จริง การทำงานร่วมกันนั้นไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงความท้าทายทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น แต่มันคือโอกาสของความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาคด้วยที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน”
เอเชีย ณ จุดเปลี่ยน: ก้าวสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่อและร่วมมือ
รายงานและการเสวนาในวันแรกของ Money20/20 Asia สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า ภูมิภาคเอเชียกำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ด้วยความหลากหลายของโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับคลื่นแห่งนวัตกรรมดิจิทัลที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ภูมิภาคนี้กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบที่ต่างคนต่างทำ (Silos) ไปสู่ยุคของการทำงานร่วมกันที่เข้มข้นมากขึ้น ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ความสำเร็จในอนาคตจะไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพียงหนึ่งเดียว แต่จะเกิดจากการผสมผสานและเชื่อมโยงเทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วยกัน ที่สำคัญที่สุด การก้าวไปข้างหน้าจะถูกกำหนดโดยนโยบายที่ชาญฉลาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้และครอบคลุมผู้ใช้งานทุกกลุ่ม และแนวทางการทำงานร่วมกันที่แข็งแกร่งระหว่างทุกภาคส่วนในตลาด เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่สนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างราบรื่นและลงตัว
งาน Money20/20 Asia จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 24 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้นำจากธนาคาร บริษัทผู้ให้บริการชำระเงิน บริษัทสตาร์ทอัพฟินเทค บริษัทร่วมลงทุน (VC) หน่วยงานกำกับดูแล และสื่อชั้นนำจากทั่วโลก ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนมุมมอง สร้างเครือข่าย และร่วมกันกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินต่อไป
(หมายเหตุ: บทความนี้ใช้การประเมินตัวเลขและแนวโน้มอ้างอิงตามรายงาน ‘How Will Asia’s Money Move in the Future? 2025’s View of 2035’ โดย Money20/20 และ FXC Intelligence)
#Money2020Asia #ฟินเทค #FinTech #การชำระเงินระหว่างประเทศ #CrossBorderPayments #การชำระเงินข้ามแดน #เอเชียแปซิฟิก #APAC #FXCIntelligence #เทคโนโลยีทางการเงิน #CBDC #DigitalWallet #RealTimePayment #อีคอมเมิร์ซ #เศรษฐกิจดิจิทัล #ศูนย์สิริกิติ์ #กรุงเทพ #ข่าวเศรษฐกิจ