คณะกรรมการ กสทช. อนุมัติให้กลุ่มสถานีวิทยุเสียงธรรมฯ และกลุ่มสถานีวิทยุขอนแก่น เริ่มทดลองทดสอบการแพร่กระจายเสียงในระบบดิจิทัล DAB+ เป็นเวลา 6 เดือน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และขอนแก่น มหาสารคาม นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการวิทยุไทย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเรียนรู้เทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ พร้อมวางรากฐานสู่การกระจายเสียงระดับชาติในอนาคต
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมวิทยุกระจายเสียงของประเทศไทย ด้วยการอนุมัติให้ผู้ประกอบการ 2 กลุ่ม เริ่มต้นทำการทดลองและทดสอบการกระจายเสียงในระบบดิจิทัล DAB+ (Digital Audio Broadcasting Plus) เป็นการชั่วคราว ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการนำเทคโนโลยีวิทยุดิจิทัลมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย หลังจากที่ กสทช. ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียง เพื่อการทดลองและทดสอบเป็นการชั่วคราวไปก่อนหน้านี้
พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. ด้านกิจการกระจายเสียง เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศหลักเกณฑ์ดังกล่าว ได้มีผู้ประกอบการหลายรายแสดงความสนใจและยื่นขอรับการอนุญาตเข้ามายังสำนักงาน กสทช. ซึ่งหลังจากผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในประกาศฯ แล้ว สำนักงาน กสทช. จึงได้นำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ผู้ประกอบการจำนวน 2 ราย ได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองทดสอบการกระจายเสียงในระบบ DAB+ เป็นการชั่วคราว โดยมีระยะเวลาในการอนุญาต 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาต
สำหรับผู้ประกอบการ 2 รายที่ได้รับไฟเขียวในครั้งนี้ ประกอบด้วย:
- กลุ่มสถานีวิทยุเสียงธรรมฯ: ดำเนินการขออนุญาตในนาม บริษัท ไอเอฟแซด อินโนเวทีฟ จำกัด ได้รับการจัดสรรให้ใช้คลื่นความถี่วิทยุ บล็อกความถี่ 9A ซึ่งมีความถี่กลางอยู่ที่ 202.928 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) โดยจะทำการทดลองทดสอบในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มนี้มีสถานีวิทยุที่เข้าร่วมโครงการทดลองที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น สถานีเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ และสถานีวิทยุเสียงสันติ เป็นต้น การทดลองในเขตเมืองหลวงนี้จะเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญถึงศักยภาพของระบบ DAB+ ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรและมีการแข่งขันสูง
- กลุ่มสถานีขอนแก่น: ดำเนินการขออนุญาตในนาม ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจ เค พี เอ็นจิเนียริ่งเรดิโอ ได้รับการจัดสรรให้ใช้คลื่นความถี่วิทยุ บล็อกความถี่ 6C ซึ่งมีความถี่กลางอยู่ที่ 185.360 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) โดยจะทำการทดลองทดสอบครอบคลุมพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดมหาสารคาม สถานีวิทยุในเครือข่ายที่เข้าร่วมการทดลองประกอบด้วย สถานีวิทยุขอนแก่นมหานคร, สถานีวิทยุสายฟ้าเรดิโอ และสถานีวิทยุท้องถิ่นไทย เป็นต้น การทดลองในพื้นที่ภูมิภาคนี้จะช่วยให้เห็นภาพการทำงานของระบบในบริบทที่แตกต่างออกไป และเป็นโอกาสสำหรับสถานีวิทยุท้องถิ่นในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่
ภายใต้กรอบการอนุญาตครั้งนี้ กสทช. ได้กำหนดเงื่อนไขที่สำคัญหลายประการเพื่อให้การทดลองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ผู้ที่ได้รับอนุญาตทั้งสองรายมีหน้าที่ต้องจัดสร้างโครงข่ายวิทยุระบบดิจิทัลด้วยตนเอง ซึ่งรวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องส่งที่ได้มาตรฐานตามประกาศ กสทช. ว่าด้วยมาตรฐานทางเทคนิคเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงระบบดิจิทัล และต้องใช้คลื่นความถี่ตามบล็อกที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น นอกจากนี้ ยังต้องมีการติดตั้งสายอากาศตามข้อกำหนด จำนวน 4 เสาส่งต่อกลุ่ม เพื่อให้สามารถกระจายสัญญาณเสียงครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงข่าย DAB+ ที่จะจัดตั้งขึ้นนี้ มีศักยภาพในการเผยแพร่กระจายเสียงได้มากถึง 16 – 18 รายการ หรือ 16-18 สถานีวิทยุ ต่อหนึ่งบล็อกความถี่ ซึ่งจำนวนสถานีที่รองรับได้จริงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเสียงหรืออัตราบิต (Bit Rate) ที่แต่ละสถานีกำหนดใช้ ยิ่งใช้บิตเรทสูง คุณภาพเสียงก็จะยิ่งดี แต่จะใช้ช่องสัญญาณมากขึ้น ทำให้รองรับจำนวนสถานีได้น้อยลง
สำหรับสถานีวิทยุที่จะเข้าร่วมออกอากาศในช่วงทดลองทดสอบนี้ จะต้องเป็นสถานีวิทยุในระบบเอฟเอ็ม (FM) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจาก กสทช. อยู่แล้วเท่านั้น โดยจะต้องทำการออกอากาศแบบคู่ขนาน (Simulcast) คือ เนื้อหารายการเดียวกัน ออกอากาศทั้งในระบบ FM เดิม และระบบ DAB+ ใหม่พร้อมกันไป ที่สำคัญคือห้ามมิให้มีการดัดแปลงเนื้อหารายการใดๆ จากที่ออกอากาศในระบบ FM เดิม และไม่อนุญาตให้มีการแสวงหารายได้เพิ่มเติมจากการทดลองทดสอบในระบบ DAB+ นี้ ไม่ว่าจะเป็นการขายโฆษณาเฉพาะในส่วนของ DAB+ หรือรูปแบบอื่นๆ
ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการทดลองทดสอบนี้ ตั้งแต่การลงทุนจัดสร้างโครงข่าย การติดตั้งอุปกรณ์เครื่องส่งและสายอากาศ ไปจนถึงการจัดหาเครื่องรับวิทยุในระบบดิจิทัล DAB+ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ทดลองสามารถรับฟังการออกอากาศได้จริง จะเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการที่ต้องการเข้ามาเรียนรู้และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุควิทยุดิจิทัล
พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ได้ให้ทัศนะเพิ่มเติมถึงความสำคัญของการอนุญาตครั้งนี้ว่า “การอนุญาตในการทดลองทดสอบวิทยุกระจายเสียงระบบดิจิทัล DAB+ ในครั้งนี้ นับเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของการพัฒนากิจการกระจายเสียงของประเทศไทย โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั่วไปที่มีความพร้อม ได้รวมตัวทำการทดลองทดสอบด้วยตนเอง ทำให้ผู้ประกอบการดังกล่าว สามารถเรียนรู้ทั้งทางเทคโนโลยีของระบบ และเรียนรู้ทางการบริหารจัดการ รวมทั้งทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งผมในฐานะ กสทช. มีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนภายใต้การแข่งขันที่เสรี เป็นธรรม”
ท่านยังกล่าวเสริมถึงภาพในอนาคตว่า “แม้ว่าการอนุญาตในครั้งนี้ จะเริ่มในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค แต่สามารถขยายไปสู่การกระจายเสียงในระดับชาติได้ หากมีการจัดตั้งโครงข่ายเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการกระจายเสียงในระดับชาติอย่างแท้จริงที่สามารถออกอากาศรายการจากสถานีเดียวที่ทำให้ประชาชนได้รับฟังภายใต้สถานีนั้นพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งต้องเร่งผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสื่อสารสาธารณะของประเทศ โดยเฉพาะการแจ้งเตือนภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่น เช่น การเกิดแผ่นดินไหวที่ผ่านมา หากระบบสื่อสารโทรคมนาคมอื่น ใช้ไม่ได้ ต่อไป”
การเริ่มต้นทดลอง DAB+ ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการทดสอบทางเทคนิค แต่ยังเป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติของผู้ประกอบการ ทั้งในด้านการบริหารจัดการโครงข่าย การสร้างความร่วมมือระหว่างสถานีวิทยุต่างๆ และการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจในระยะยาว แม้ในช่วงทดลองจะยังไม่มีการสร้างรายได้โดยตรง แต่ข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้รับจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนเมื่อมีการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในอนาคต
สำหรับประชาชนในพื้นที่ทดลอง อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องรับวิทยุที่รองรับระบบ DAB+ ซึ่งผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่จัดหาให้จำนวนหนึ่งในช่วงทดลองนี้ เพื่อให้เกิดการรับฟังและรับทราบผลการทดลองได้จริง ประสบการณ์ของผู้ฟังจะเป็นข้อมูลป้อนกลับที่สำคัญในการพัฒนาระบบต่อไป ทั้งในด้านคุณภาพเสียง ความเสถียรของสัญญาณ และความหลากหลายของเนื้อหารายการ
การก้าวเข้าสู่ยุควิทยุดิจิทัล DAB+ ของไทยในครั้งนี้ แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทดลองในวงจำกัด แต่ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจน สะท้อนความพยายามของ กสทช. และความตื่นตัวของผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีใหม่มายกระดับอุตสาหกรรมวิทยุกระจายเสียง ซึ่งคาดว่าจะนำมาซึ่งประโยชน์ทั้งในเชิงคุณภาพการรับฟัง การเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และที่สำคัญคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารสาธารณะและการแจ้งเตือนภัยในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่ กสทช. มุ่งผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้
#กสทช #วิทยุดิจิทัล #DABplus #วิทยุไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #คลื่นความถี่ #ทดลองออกอากาศ #สถานีวิทยุเสียงธรรม #สถานีวิทยุขอนแก่น #พลอากาศโทธนพันธุ์ #นวัตกรรมสื่อสาร #DigitalRadioThailand