บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) องค์กรพลังงานแห่งชาติ ประกาศความสำเร็จก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนสู่องค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ ด้วยการย้ายระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน จาก SAP ไปยังแพลตฟอร์มคลาวด์ระดับโลก Amazon Web Services (AWS) การตัดสินใจครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในองค์กร แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมแห่งอนาคตมาประยุกต์ใช้ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล หรือ Digital Transformation ถือเป็นวาระสำคัญขององค์กรชั้นนำทั่วโลก และ ปตท. ในฐานะผู้นำด้านพลังงานของไทย ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงการย้ายระบบ SAP ซึ่งเป็นระบบที่จัดการข้อมูลสำคัญและกระบวนการทางธุรกิจหลักทั้งหมดขององค์กร ขึ้นสู่บริการคลาวด์ของ AWS ผ่านโซลูชัน RISE with SAP ถือเป็นหมุดหมายเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กร
การแถลงข่าวความสำเร็จของโครงการนี้จัดขึ้นในงานAWS Summit Bangkok เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสามองค์กรร่วมเสวนา ได้แก่ คุณทวีสุข สายะศิลปี ผู้จัดการฝ่ายแผนวิสาหกิจ และผู้อำนวยการโครงการ ERP บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), คุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีน บริษัท SAP และคุณทิพมาศ อจลากุล Head of Commercial Industries ของ AWS Thailand
SAP บน AWS: ขุมพลังใหม่ขับเคลื่อน ปตท. สู่ยุค AI
ระบบ SAP เปรียบเสมือนสมองและหัวใจของ ปตท. ทำหน้าที่รวบรวมและประมวลผลข้อมูลมหาศาลจากการดำเนินงานในทุกภาคส่วน การย้ายระบบนี้ขึ้นไปทำงานบนคลาวด์ของAWS ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทางไอที แต่เป็นการปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา
ข้อมูลจากระบบ ERP จะกลายเป็นชุดข้อมูลพื้นฐานสำคัญ (Foundation Data) ที่พร้อมสำหรับการนำไปต่อยอดพัฒนาโครงการ AI และ Analytics ขั้นสูงต่างๆ ในอนาคต แพลตฟอร์มคลาวด์ของAWS มีความยืดหยุ่นและทรัพยากรที่สามารถปรับขยายได้ตามความต้องการ ทำให้ ปตท. มีความพร้อมสำหรับการประมวลผลที่ซับซ้อน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่นับวันจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น
ประโยชน์รอบด้านจากการย้าย ERP สู่คลาวด์
การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ของ ปตท. คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญหลายประการต่อองค์กร ได้แก่:
- เสริมแกร่ง Digital Transformation และ AI: การมีระบบ ERP ที่ทันสมัยและทำงานบนคลาวด์ที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง AWS ถือเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้ ปตท. สามารถนำข้อมูลมาใช้พัฒนาระบบ AI และ Analytics ขั้นสูงได้อย่างเต็มศักยภาพ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่เหนือกว่าในยุคดิจิทัล
- เพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาการทำงาน: ระบบใหม่บนคลาวด์ช่วยให้ผู้ใช้งานจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วทั้งองค์กรสามารถเข้าถึงและใช้งานระบบได้ง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานประจำวัน และเอื้อให้การนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อยอดทางธุรกิจทำได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ SAP ยังมีแผนจะเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ เช่น แชทบอท ที่จะรองรับการใช้งานภาษาไทยภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานชาวไทยได้เป็นอย่างดี
- ปรับโมเดลลงทุน ลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ: การเปลี่ยนจากการลงทุนซื้อสินทรัพย์ประเภทฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานไอทีเอง (Capital Expenditure – CAPEX) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงและมีค่าเสื่อมราคา มาเป็นการใช้บริการคลาวด์ในรูปแบบค่าใช้จ่ายดำเนินการ (Operational Expenditure – OPEX) ที่จ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-per-use) คาดว่าจะช่วยให้ ปตท. สามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบ ERP ลงได้ประมาณ 20% ทั้งยังช่วยลดภาระในการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์และลดจำนวนบุคลากรที่ต้องใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานลงได้อีกด้วย
- ยกระดับความปลอดภัยและความยืดหยุ่น: การเลือกใช้บริการ AWS Region ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ช่วยให้ ปตท. สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) ได้อย่างสมบูรณ์ สร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสำคัญ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มคลาวด์ยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเพิ่มหรือลดทรัพยากรประมวลผลได้ตามความต้องการใช้งานจริงอย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจได้อย่างทันท่วงที
- สร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจด้วยแผนรองรับภัยพิบัติที่แข็งแกร่ง: ระบบ ERP ถือเป็นระบบงานหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการดำเนินธุรกิจ การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง SAP และ AWS ช่วยให้ ปตท. มั่นใจได้ในระดับการให้บริการ (Service Level Agreement – SLA) ที่การันตีความพร้อมใช้งานของระบบ (Availability) ในระดับสูง พร้อมกันนี้ยังมีแผนรองรับภัยพิบัติ (Disaster Recovery – DR) ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ มีการกำหนดเป้าหมายระยะเวลาในการกู้คืนระบบ (Recovery Time Objective – RTO) ที่รวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
- เข้าถึงนวัตกรรมล่าสุดได้อย่างรวดเร็ว: การอยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์ทำให้ ปตท. สามารถเข้าถึงและนำนวัตกรรมล่าสุดจากทั้ง SAP ซึ่งรวมถึงความสามารถด้าน AI ที่ฝังมาในระบบเวอร์ชันใหม่ๆ และบริการอันหลากหลายของ AWS มาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมจำนวนมาก ช่วยให้องค์กรก้าวทันเทคโนโลยีและรักษาความสามารถในการแข่งขันอยู่เสมอ
เตรียมคนพร้อมรับเทคโนโลยี: เป้าหมายพัฒนาทักษะ AI 100%
นอกเหนือจากการลงทุนในเทคโนโลยีแล้ว ปตท. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการพัฒนาทักษะด้าน AI ให้แก่พนักงานทุกคน หรือ 100% ขององค์กร ภายในระยะเวลา 4 ปี การลงทุนในการยกระดับทักษะ (Upskill) และปรับทักษะ (Reskill) นี้ จะช่วยให้พนักงานมีความพร้อมและความมั่นใจในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบใหม่ที่นำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรมอย่างแท้จริง
ความร่วมมือระดับโลก สู่ความสำเร็จในไทย
ความสำเร็จของโครงการ Digital Transformation ครั้งนี้ของ ปตท. เป็นผลมาจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งและยาวนานระหว่าง SAP และAWS ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้กับ ปตท. ในการตัดสินใจย้ายระบบงานหลักที่สำคัญยิ่งสู่คลาวด์ โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับ ปตท. สู่การเป็นองค์กรดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ แต่ยังถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรขนาดใหญ่อื่นๆ ในประเทศไทยที่กำลังพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงและยกระดับระบบงานหลักของตนสู่แพลตฟอร์มคลาวด์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล