“ราวด์ ทู โซลูชั่นส์” ดัน ERP จับคู่ CRM โตสวนกระแส ทะลุ 360 ล้านบาท

“ราวด์ ทู โซลูชั่นส์” ดัน ERP จับคู่ CRM โตสวนกระแส ทะลุ 360 ล้านบาท

“ราวด์ ทู โซลูชั่นส์” โชว์ฟอร์มแกร่ง เติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี ปิดรายได้ล่าสุด 364 ล้านบาท สวนกระแสเศรษฐกิจฝืดเคือง รับอานิสงส์ตลาด ERP/CRM ไทยบูมสนั่น “วิเชียร ลัญฉนะวณิชย์” ชี้เทรนด์ Cloud-AI และการอัปเกรดระบบ หนุนองค์กรทุกขนาดตั้งแต่ SME ถึงรายใหญ่เร่งลงทุน ด้านบริษัทผนึกกำลัง G-Able และ Nippon Steel ขยายฐานลูกค้าเต็มสูบ พร้อมแก้เกมขาดแคลนบุคลากรไอที ด้วยโครงการ “Academy Program” สุดล้ำ ปั้นคนสายธุรกิจสู่คอนซัลต์ SAP โดยตรง

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่ยังคงมีความผันผวน ภาคธุรกิจต่างเร่งปรับตัวรับมือความท้าทายรอบด้าน หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ส่งผลให้ตลาดโซลูชันเพื่อการบริหารจัดการองค์กรอย่าง ERP (Enterprise Resource Planning) และ CRM (Customer Relationship Management) ในประเทศไทย กลับมาคึกคักและเติบโตอย่างก้าวกระโดด สวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายยังคงกังวล

บริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด (Round 2 Solutions) ผู้ให้บริการที่ปรึกษาและวางระบบ SAP และ Salesforce ชั้นนำของไทย คือหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญที่สะท้อนภาพการเติบโตอันร้อนแรงนี้ได้อย่างชัดเจน ภายใต้การนำของ คุณวิเชียร ลัญฉนะวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไม่เพียงยืนหยัดท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของการดำเนินงาน แต่ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในช่วง 4 ปีหลังสุด ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 40% ปิดรายได้ปี 2024 ไปที่ 364 ล้านบาท จากที่เคยอยู่ที่ราว 118 ล้านบาทในปี 2021

“บริษัทเราเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2014-2015 เพิ่งจะครบ 10 ปีพอดี” คุณวิเชียร กล่าวถึงจุดเริ่มต้น ก่อนจะขยายความถึงโครงสร้างบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโต “ก่อนหน้านี้เราเป็นบริษัทส่วนบุคคล แล้วช่วงปี 2021-22 ก็มี Nippon Steel ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้นประมาณ 15% เพื่อให้เราซัพพอร์ตเรื่อง SAP และล่าสุดปีที่แล้ว (2023) ทาง G-Able ก็เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 75%” การผนึกกำลังกับ G-Able ยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัลโซลูชันของไทย และ Nippon Steel ถือเป็นก้าวสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับ ราวด์ ทู อย่างมาก

ตลาด ERP/CRM ไทยขาขึ้น รับเมกะเทรนด์ดิจิทัล

คุณวิเชียร วิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาด ERP และ CRM ในประเทศไทยว่ามาจากหลายมิติประกอบกัน “ผมว่ามันมี 2-3 แง่มุม อันแรกคือ ธุรกิจเมืองไทยแม้ว่าจะฝืดเคือง แต่ก็ยังเติบโต มีการส่งต่อถึง Generation ใหม่ๆ ทั้ง Local Family Business หรือ Corporate ใหญ่ๆ ก็ขยายตัว ซึ่งแปลว่าธุรกิจเริ่มต้องการมาตรฐานและระบบเข้ามาช่วย”

ปัจจัยที่สองคือการเติบโตของ Ecosystem ดิจิทัล “เรามี Social Platform, Marketplace, Supply Chain, Demand Chain ซึ่งหลายอย่าง ถูกนำขึ้นสู่ระบบดิจิทัลหมดแล้ว มันง่าย มันก็ทำให้ความต้องการระบบที่ต้องเชื่อมต่อกับคู่ค้าและระบบอื่นๆ ตามมา” และปัจจัยสุดท้ายคือพัฒนาการของตัวโซลูชันเอง “SAP หรือ Salesforce เองก็มีการพัฒนาเวอร์ชันใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ โมเดลราคาแบบใหม่ เช่น การขึ้น Cloud ซึ่ง 3 ตัวนี้มันทำให้ตลาดวันนี้ค่อนข้างเติบโตได้ดีขึ้น”

Cloud และ Mindset ใหม่ ปฏิวัติการลงทุน ERP/CRM

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการมาถึงของเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud Computing) ซึ่งพลิกโฉมรูปแบบการลงทุนในระบบ ERP และ CRM ไปอย่างสิ้นเชิง คุณวิเชียร อธิบายว่า “สมัยก่อนต้องเป็น On-Premise คือต้องหาเซิร์ฟเวอร์ มาติดตั้ง ต้องดูแลเอง แต่ปัจจุบัน SAP หรือ Salesforce เรา Host อยู่ที่ผู้ให้บริการเลย เราแค่เช่าสิทธิ์การใช้งาน (Subscribe) ทำให้การลงทุนเริ่มต้นมันต่ำ ไม่ต้องเตรียม Infrastructure มาก ไม่ต้องซื้อเผื่อ ไม่ต้องมาคอยดูแลเครื่อง”

นอกจากการลงทุนที่เข้าถึงง่ายขึ้นแล้ว Mindset ของผู้ประกอบการและวิธีการ Implement ก็เปลี่ยนไป “สมัยก่อนหยิบ SAP เข้ามาแล้วดูว่าจะปรับเปลี่ยน (Customize) ยังไงให้เข้ากับเรา ทำให้โครงการต้อง Customize เต็มไปหมด มูลค่าโครงการต่ำๆ ก็ 50-70 ล้านบาท แต่ปัจจุบัน Mindset เปลี่ยนไปเป็นว่า เอา SAP มาแล้ว ถามตัวเองก่อนว่าเราจะปรับกระบวนการธุรกิจ (Business Process) ให้เข้ากับสิ่งที่ SAP มี (Best Practice) ได้ไหม มันทำให้ไม่ต้อง Customize เยอะ ลดความซับซ้อน และ Cost ในการ Implement มันต่ำลงเยอะ หลักสิบล้านต้นๆ หรือต่ำกว่าสิบล้านก็มี”

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลโดยตรงต่อการขยายตัวของตลาดไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) “แต่ก่อนถ้า Revenue ธุรกิจคุณไม่ถึงหมื่นล้าน การลงทุน SAP อาจจะยาก แต่เดี๋ยวนี้ Revenue สัก 2,000-3,000 ล้านก็ลงทุนได้แล้ว มันทำให้ตลาด Middle Market มันเปิดกว้างขึ้นมาก” คุณวิเชียรกล่าวเสริม

จุดแข็ง Round 2: เชี่ยวชาญสองโลก SAP & Salesforce ผสานไร้รอยต่อ

ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น ราวด์ ทู สร้างความแตกต่างด้วยจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการเป็น Partner ที่มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งและได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากทั้งสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่ คือ SAP ซึ่งเน้นระบบบริหารจัดการภายในองค์กร (ERP) และ Salesforce ที่เป็นผู้นำด้านระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ซึ่งเน้นกระบวนการภายนอก

“ถ้าไปดู Partner ส่วนใหญ่ ก็อาจจะทำ SAP อย่างเดียว หรือทำ Salesforce อย่างเดียว แต่เราเป็นหนึ่งในไม่กี่เจ้าที่ทำทั้งคู่” คุณวิเชียร ชี้

“ฝั่ง SAP คือการบริหารจัดการภายในองค์กร บัญชี ผลิต สต็อก แต่ Salesforce คือโลกภายนอก ตั้งแต่การหา Lead หรือ Prospect (ผู้ที่ยังไม่ใช่ลูกค้า) การติดตามกิจกรรม การประเมิน Sentiment จนกระทั่งเขาตัดสินใจเป็นลูกค้า ข้อมูลส่วนนี้ SAP ไม่มี แต่ Salesforce เก่งเรื่องนี้โดยเฉพาะ ลูกค้าราวด์ ทู เกือบ 100% ที่ทำ CRM กับเรา มี SAP เป็นระบบหลังบ้านอยู่แล้ว เราจึงเชี่ยวชาญมากในการ Integrate สองระบบนี้เข้าด้วยกัน ทั้งในเชิงข้อมูลและกระบวนการ ซึ่งสำคัญมาก”

ความเข้าใจในระบบนิเวศทั้งสองฝั่งอย่างถ่องแท้ ทำให้ ราวด์ ทู สามารถให้คำปรึกษาและส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการหลังบ้านไปจนถึงหน้าบ้านที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า

ราวด์ ทู โซลูชั่นส์

AI และ Data: สมรภูมิใหม่ของ Enterprise Software

เทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอย่าง AI ก็เป็นสิ่งที่ ราวด์ ทู ให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมนำเสนอให้กับลูกค้า คุณวิเชียร เน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง Consumer AI ที่คนทั่วไปคุ้นเคย (เช่น ChatGPT) กับ Enterprise AI หรือ Agentic AI ที่กำลังถูกผนวกเข้ามาในระบบอย่าง SAP และ Salesforce

“Enterprise AI มันคือการเอา AI เข้ามาใช้ในกระบวนการ ERP/CRM ขององค์กร มันเหมือนเป็น Agentic AI ที่ทำงานในกระบวนการแทนเราได้ และโต้ตอบกับเราได้” อย่างไรก็ตาม คุณวิเชียร มองเรื่องนี้อย่างรอบคอบในฐานะคอนซัลต์ “ผมค่อนข้าง Conservative นิดนึง คือถ้าพื้นฐานลูกค้าไม่ดี Process ไม่ได้มาตรฐาน Data ในระบบยังไม่ถูกต้อง การ Deploy AI เข้าไป มันก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะ AI มันต้องวิ่งตาม Process ตาม Data ตาม Policy ของเรา ถ้าพื้นฐานไม่ดี AI ก็ทำอะไรไม่ได้”

ดังนั้น กลยุทธ์ของ ราวด์ ทู คือการช่วยลูกค้าสร้าง Fundamental ที่ดีให้พร้อมก่อน “ปีนี้เรา Introduce การทำงานให้ Fundamental ของลูกค้ามันดี มันถูกต้อง เพื่อจะ Deploy AI ไปได้อย่างมีประโยชน์จริงๆ” นอกจากนี้ ราวด์ ทู ยังมีประสบการณ์โชกโชนในการทำ Robotic Process Automation (RPA) มาตั้งแต่ปี 2021 มี Use Case มากกว่า 300 เคส ในการใช้ Bot ทำงานซ้ำๆ แทนคนในระบบ SAP ซึ่งถือเป็นการปูทางสู่ยุคของ Agentic AI ได้เป็นอย่างดี

‘Academy Program’ นวัตกรรมแก้ปมขาดแคลนคอนซัลต์

ความท้าทายสำคัญที่สุดที่อุตสาหกรรมคอนซัลต์ไอทีกำลังเผชิญคือภาวะขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญระบบซับซ้อนอย่าง SAP ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงมากในตลาด “Demand ตอนนี้มันมากกว่า Supply หรือจำนวน Partner และคนทำงานที่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าได้ เราต้องระดมสร้าง Resource ใหม่ให้ทัน” คุณวิเชียร กล่าวถึงสถานการณ์

เพื่อแก้ปัญหานี้ ราวด์ ทู ได้ริเริ่มโครงการ “Academy Program” ซึ่งถือเป็นแนวทางที่แปลกใหม่และน่าจับตามองอย่างยิ่ง แทนที่จะมุ่งหาแต่คนสาย IT หรือเด็กจบใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาปั้นอีกนานและอาจไม่เข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ราวด์ ทู เลือกที่จะเปิดรับ “คนทำงานสายธุรกิจ” ที่มีประสบการณ์โดยตรง

“เราประกาศรับสมัครคนที่เป็น Professional ในสายบัญชีมาก่อน ทำงานมา 2-3 ปี ไม่ได้อยู่ในสาย IT เลยก็ได้ มาสัมภาษณ์กับเรา ถ้าผ่าน เราบรรจุเป็นพนักงานเลย ให้เงินเดือนไม่น้อยกว่าเดิม แล้วเราสอน SAP ให้ทั้งหมด มีคนมาสอน สอบ Certified ให้ จบโปรแกรม (4-6 เดือน) ถ้าผ่าน คุณก็ได้เป็น Junior SAP Consultant” คุณวิเชียร อธิบายแนวคิด

“ผมมองว่ามันง่ายกว่าที่จะเอาคน IT มานั่งสอนเรื่องมาตรฐานบัญชี หรือ Business Process แต่การเอาคนที่รู้ Business อยู่แล้ว มาเติมความรู้ SAP ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้ยากขนาดต้องเขียนโค้ดเยอะแยะ มันน่าจะไปได้เร็วกว่า และได้คนที่เข้าใจลูกค้าจริงๆ ลูกค้าเองก็ได้คุยกับคนที่รู้เรื่องบัญชีจริงๆ มัน Win-Win หมด”

ทั้งนี้โครงการนำร่องในสายบัญชีได้รับการตอบรับดีเกินคาด มีผู้สมัครกว่า 50 คนในรอบแรก และกำลังจะเริ่มอบรมรุ่นแรกในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยมีแผนจะขยายไปยังสายงานอื่น เช่น Production และ Sales ต่อไป ถือเป็นโมเดลที่อาจปฏิวัติการสร้างบุคลากรในวงการคอนซัลต์ไอทีของไทยเลยทีเดียว

เติบโตแข็งแกร่ง ผนึกพันธมิตร สู่เป้าหมายใหม่

ผลจากการวางกลยุทธ์ที่แม่นยำ การมีจุดแข็งที่ชัดเจน และการปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ๆ ทำให้ ราวด์ ทู มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่นมาตลอด แม้ในช่วงโควิด-19 หรือภาวะเศรษฐกิจผันผวน “ทุกวิกฤตเป็นโอกาส” คุณวิเชียร กล่าว “เหมือนตอนโควิด ถ้าคุณจะปรับธุรกิจ แต่ไม่มีข้อมูล ไม่มี Process ในมือ จะรู้ได้ไงว่าต้องไปทางไหน หรือตอนนี้ที่มีวิกฤตภาษีทรัมป์ ถ้าส่งผลให้เศรษฐกิจผันผวน นโยบายเปลี่ยน ถ้าไม่มีระบบที่ดี คุณก็ยิ่งมีปัญหา การมีระบบที่ดีช่วยให้คุณปรับตัวสู้กับการแข่งขันได้”

สำหรับเป้าหมายปี 2025 หลังจากเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาแตะ 364 ล้านบาทในปี 2024 คุณวิเชียร ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องในระดับ Double Digit (10-15% ขึ้นไป) โดยอาศัยความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังกับ G-Able และ Nippon Steel “G-Able มีฐานลูกค้าที่อาจจะไม่ได้ทับซ้อนกับเรามากนัก และมี Infrastructure ที่พร้อม ส่วน Nippon Steel ก็ช่วยเปิดตลาดลูกค้าญี่ปุ่น ซึ่งมีความเฉพาะตัวสูง การมีสามประสานนี้ทำให้เกิด Eco System ที่ส่งเสริมกันได้ดีมาก”

การเดินทางของ ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ ภายใต้การนำของ คุณวิเชียร ลัญฉนะวณิชย์ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง การมองเห็นโอกาสในตลาดที่กำลังบูม การสร้างจุดแข็งที่แตกต่าง การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้อย่างเข้าใจ และการแก้ปัญหาคลาสสิกเรื่องบุคลากรด้วยวิธีคิดนอกกรอบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ Round Two ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาด และพร้อมที่จะคว้าโอกาสการเติบโตต่อไปในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

#Round2Solutions #Gable #NipponSteel #SAP #Salesforce #ERP #CRM #CloudComputing #DigitalTransformation #AI #EnterpriseAI #ธุรกิจไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #ไอทีคอนซัลต์ #TechTalent #AcademyProgram #วิเชียรลัญฉนะวณิชย์ #เทคโนโลยีสารสนเทศ #ซอฟต์แวร์องค์กร #ตลาดSME

Related Posts