AIS เผยเบื้องหลัง หนุน ภารกิจกู้ภัย 49 วัน เคียงข้างคนไทยยามวิกฤต

AIS เผยเบื้องหลัง หนุน ภารกิจกู้ภัย 49 วัน เคียงข้างคนไทยยามวิกฤต

เอไอเอส เผยเบื้องหลังภารกิจครั้งสำคัญตลอด 49 วัน (28 มีนาคม – 15 พฤษภาคม 2568) ในการนำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะและนวัตกรรมเทคโนโลยีสื่อสารขั้นสูง เข้าสนับสนุนหน่วยงานกู้ภัยและทีมค้นหาผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อาคารถล่มอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวรุนแรง สะท้อนความพร้อมและบทบาทขององค์กรในการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อดูแลคนไทยในยามวิกฤต

ในภาวะที่ประเทศเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งสำคัญจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์อาคารถล่มและมีผู้ติดค้างอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ได้แสดงความพร้อมและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างทันท่วงที โดยการนำเทคโนโลยีเครือข่ายขั้นสูงและทีมงานผู้เชี่ยวชาญเข้าสนับสนุนปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง

การตอบสนองฉับไวและการบริหารจัดการภาวะวิกฤต

ทันทีที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เอไอเอส ได้ดำเนินการตามแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) อย่างเคร่งครัด โดยเร่งตรวจสอบและประเมินความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่สำคัญทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าบริการสื่อสารยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อได้รับรายงานเหตุอาคารถล่ม เอไอเอส ได้ขยายภารกิจเพิ่มเติมทันที โดยจัดส่งทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีสื่อสารขั้นสูงลงพื้นที่ประสบภัย เพื่อสนับสนุนภารกิจการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนที่สุด

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวถึงการดำเนินงานในช่วงภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ว่า “เครือข่ายดิจิทัลของเราไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคโนโลยี แต่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมโยงชีวิต ธุรกิจ และสังคม โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่การสื่อสารคือหัวใจของการช่วยเหลือ เอไอเอส พร้อมนำโครงข่ายดิจิทัลเข้าช่วยเหลือทุกภาคส่วนทันทีที่เกิดเหตุการณ์”

AIS

นวัตกรรมเครือข่ายอัจฉริยะหัวใจสำคัญของภารกิจ

AIS ได้นำสรรพกำลังทางเทคโนโลยีเข้าสนับสนุนภารกิจอย่างรอบด้าน ประกอบด้วย:

  • รถโมบายและอุปกรณ์สถานีฐานเคลื่อนที่พิเศษ (Base Station): ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อเสริมกำลังสัญญาณและสร้างความมั่นใจว่าเครือข่ายการสื่อสารในพื้นที่ประสบภัยมีความพร้อมสูงสุดสำหรับการทำงานของหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉิน
  • Network Data Analytics และเทคนิค Small Cellular Pinpointing: เอไอเอส ได้ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายขั้นสูง ร่วมกับเทคโนโลยี Small Cellular Pinpointing เพื่อกำหนดพิกัดและพื้นที่การค้นหาอย่างเจาะจง ช่วยในการจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือและระบุตำแหน่งของผู้ที่อาจติดค้างอยู่ภายในอาคารได้อย่างแม่นยำ สิ่งสำคัญคือในช่วง 3 วันแรกของการปฏิบัติการ เอไอเอส ได้ให้ความสำคัญกับการควบคุมการยิงสัญญาณอย่างระมัดระวัง เพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ของผู้ประสบภัยให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
  • การสนับสนุนเทคโนโลยีโดรนและหุ่นยนต์: เครือข่ายของ เอไอเอส ยังได้สนับสนุนการทำงานของเทคโนโลยีโดรน และหุ่นยนต์ติดกล้องที่ถูกนำมาใช้ในการสำรวจพื้นที่อันตรายและเข้าถึงยาก ช่วยให้ทีมกู้ภัยสามารถประเมินสภาพอาคารและค้นหาผู้รอดชีวิตโดยลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
  • การเสริมความแรงของสัญญาณ High-Speed Fiber และ 5G: ตลอดระยะเวลาปฏิบัติการทั้ง 49 วัน เอไอเอส ได้ดำเนินการเสริมความแรงของสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านไฟเบอร์ออปติก และเทคโนโลยี 5G อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำงานของหน่วยกู้ภัยและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ราบรื่น และปลอดภัยสูงสุด การสื่อสารที่เสถียรและรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประสานงาน การส่งต่อข้อมูล และการตัดสินใจในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

เสียงสะท้อนจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ความสำเร็จของภารกิจกู้ภัยครั้งนี้ไม่ได้มาจากเพียงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่เกิดจากการบูรณาการความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่ง เอไอเอส ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการทำงานเหล่านั้น

พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความร่วมมือว่า “หลังจากรับทราบเหตุอาคารถล่ม เราได้ประสานงานร่วมกับ เอไอเอส ทันทีด้วยการสแกนและคัดกรองสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ทำให้สามารถระบุหมายเลขที่เกี่ยวข้องได้ถึง 249 หมายเลข พร้อมประสานกับญาติผู้สูญหายเพื่อตรวจสอบข้อมูลจนพบ 46 หมายเลขที่ยังมีสัญญาณโทรเข้าได้แต่ไม่มีผู้รับสาย ข้อมูลนี้ช่วยให้เราจัดลำดับจุดค้นหาที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมเทคนิคของ เอไอเอส และเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงให้เห็นถึงพลังของการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำในภาวะวิกฤต

AIS

ด้านนายวัชระ อมศิริ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้วางแผนและดำเนินการกรณีเกิดภัยพิบัติของประเทศ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ที่เราต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นว่าในพื้นที่จะมีระบบการสื่อสารที่เพียงพอต่อการใช้งาน ทั้งระบบการสื่อสารเพื่อการปฏิบัติงาน การสื่อสารทั่วไป รวมถึงระบบสื่อสารสำรอง การสนับสนุนสัญญาณเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตของ เอไอเอส นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การค้นหาและช่วยเหลือเกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ และจะมีส่วนสำคัญต่อการร่วมกันพัฒนาแผนเพื่อรับมือต่อภัยพิบัติในอนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤตที่ทุกสัญญาณสื่อสารอาจหมายถึงโอกาสในการช่วยชีวิต”

ขณะที่นายสิทธิพล คงยิ่งหาร หัวหน้าทีมปฏิบัติการสมาคม ตอบโต้ภัยพิบัติ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานสำคัญที่เข้าร่วมภารกิจ กล่าวเสริมถึงบทบาทของเทคโนโลยีภาคสนามว่า “เราใช้โดรนเพื่อมอนิเตอร์และประเมินสถานการณ์จากการสำรวจพื้นที่อันตรายหรือเข้าถึงยาก จึงจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อให้การถ่ายทอดภาพเป็นไปอย่างรวดเร็วและคมชัด ในช่วงที่อินเทอร์เน็ตมีปัญหา โชคดีที่ เอไอเอส เข้ามาช่วยกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้การควบคุมโดรนมีความแม่นยำมากขึ้น และสามารถนำข้อมูลต่างๆ มาผสานเทคโนโลยีการสร้างแผนที่ภาพ 3 มิติ เพื่อสแกนโครงสร้างตึกได้อย่างละเอียด รวดเร็ว เพื่อประเมินความปลอดภัยของการปฏิบัติภารกิจและความแม่นยำในการค้นหาผู้รอดชีวิต” การสนับสนุนจาก AIS จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานของโดรนเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ยังช่วยเพิ่มมิติในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการกู้ภัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

‘AI for Sustainable Nation’ แนวคิดเบื้องหลังการดำเนินงาน

การดำเนินงานทั้งหมดของ AIS ในภารกิจครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการดำเนินธุรกิจ แต่ยังยึดมั่นในแนวคิด ‘AI for Sustainable Nation’ ซึ่งเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีควรเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อร่วมกันสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศในระยะยาว การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเครือข่าย การวิเคราะห์ข้อมูล และการสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว

AIS ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการนำทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ มาสร้างคุณค่าสูงสุดให้กับประเทศ ไม่เพียงแต่ในด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ยังรวมถึงการเป็นที่พึ่งให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะในห้วงเวลาแห่งวิกฤตที่ต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน การเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์จึงเป็นพันธกิจสำคัญที่ เอไอเอส ยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอด

ศักยภาพองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

  1. ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่: ให้บริการบนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ที่ครอบคลุมด้วยคลื่นความถี่มากที่สุดในประเทศ รวม 1460 MHz และมีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 45.7 ล้านเลขหมาย (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568)
  2. ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง: ภายใต้แบรนด์ AIS 3BB FIBRE3 ที่มีฐานผู้ใช้งานกว่า 5.1 ล้านราย (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568)
  3. ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร: ให้บริการโซลูชันดิจิทัลและเทคโนโลยีสื่อสารครบวงจรแก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ
  4. ธุรกิจบริการดิจิทัล: นำเสนอบริการดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

ด้วยฐานลูกค้ารวมกว่า 50.8 ล้านราย (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568) เอไอเอส เดินหน้าตามวิสัยทัศน์สู่การเป็น “องค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ” หรือ Cognitive Tech-Co โดยมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน การทุ่มเทสรรพกำลังในภารกิจสนับสนุนการกู้ภัยครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของ เอไอเอส ในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศและดูแลสังคมไทยอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ภารกิจตลอด 49 วันของ เอไอเอส ในการสนับสนุนการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอาคารถล่ม ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเครือข่ายและความเชี่ยวชาญของบุคลากร แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ การผสานนวัตกรรมอัจฉริยะเข้ากับการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจเป็นไปด้วยดี และตอกย้ำภาพลักษณ์ของ เอไอเอส ในฐานะองค์กรที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการเครือข่าย แต่เป็นพันธมิตรที่พร้อมจะร่วมขับเคลื่อนและดูแลสังคมไทยให้ก้าวผ่านทุกวิกฤตการณ์ไปด้วยกัน

#AIS #AISเคียงข้างคนไทย #นวัตกรรมAIS #เครือข่ายอัจฉริยะ #ภารกิจกู้ภัย #อาคารถล่ม #แผ่นดินไหว #เทคโนโลยีกู้ภัย #5Gเพื่อสังคม #โดรนกู้ภัย #ความรับผิดชอบต่อสังคม #AISเพื่อความยั่งยืน #CognitiveTechCo #DigitalInfrastructure #สื่อสารในภาวะวิกฤต

Related Posts