ค่าเงินบาทวันนี้ (23 พ.ค. 68) อ่อนค่าลง เคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยหลักจากดัชนีเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ออกมาดีเกินคาด สวนทางกับข้อมูลฝั่งยุโรปที่อ่อนแอลง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายภาษีฉบับสำคัญ สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มเติมในตลาด
เงินบาทไทยเผชิญแรงกดดัน – SCB ชี้กรอบการเคลื่อนไหว
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) เปิดเผยรายงานประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ประเมินว่า ค่าเงินบาท มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นผลโดยตรงจากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในตะกร้าเงิน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
ดัชนี PMI สหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม แข็งแกร่งเกินคาด หนุนดอลลาร์
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้น มาจากการประกาศตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและภาคบริการ (Composite PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งออกมาอยู่ที่ระดับ 52.1 ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่สูงกว่าระดับในเดือนเมษายนเท่านั้น แต่ยังสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ การปรับตัวดีขึ้นนี้ครอบคลุมทั้งภาคการผลิต (Manufacturing PMI) และภาคบริการ (Services PMI) ส่งสัญญาณว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ดี
SCB Financial Markets ระบุว่า ปัจจัยหนุนที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากความกังวลในประเด็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีในสหรัฐฯ ที่เริ่มคลี่คลายลง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน ดัชนี PMI ถือเป็นเครื่องชี้วัดภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจากเป็นการสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคธุรกิจต่างๆ เกี่ยวกับมุมมองต่อคำสั่งซื้อใหม่ การผลิต การจ้างงาน การส่งมอบสินค้า และสต็อกสินค้าคงคลัง ค่าดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าที่ต่ำกว่า 50 แสดงถึงภาวะหดตัว
สหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายภาษี สะท้อนการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ คือความคืบหน้าด้านนโยบายการคลัง โดยมีรายงานว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายภาษีฉบับสำคัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้รายละเอียดของกฎหมายจะยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่เบื้องต้นพบว่ามีการปรับลดงบประมาณในโครงการประกันสุขภาพลง การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการบริหารจัดการนโยบายการคลังและอาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ซึ่งตลาดมองว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความไม่แน่นอนบางส่วนลง
เศรษฐกิจยุโรปส่งสัญญาณอ่อนแอ – PMI ยูโรโซนน่าผิดหวัง
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ข้อมูลจากฝั่งยุโรปกลับแสดงภาพที่ตรงกันข้าม ดัชนี Composite PMI ของกลุ่มประเทศยูโรโซนในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 49.5 ซึ่งไม่เพียงแต่ต่ำกว่าระดับในเดือนก่อนหน้า แต่ยังแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การปรับตัวลงของดัชนี PMI โดยรวมในยูโรโซนมีสาเหตุหลักมาจากภาคบริการที่อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ยังคงเปราะบางและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ปัญหาในภาคพลังงาน และผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ความแตกต่างของข้อมูลเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปนี้เอง ที่เป็นปัจจัยเสริมให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร และส่งผลต่อเนื่องมายังค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจ
การอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีนัยยะสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ:
- ภาคการส่งออก: ผู้ส่งออกไทยอาจได้รับอานิสงส์ในรูปของรายได้ที่เป็นเงินบาทเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น อุปสงค์ของประเทศคู่ค้า และต้นทุนการผลิตที่อาจสูงขึ้นจากราคาสินค้านำเข้า
- ภาคการนำเข้า: ผู้นำเข้าสินค้า วัตถุดิบ หรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้เงินบาทจำนวนมากขึ้นเพื่อแลกซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยรวมและอาจผลักดันให้ราคาสินค้าในประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้
- เงินเฟ้อ: ต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะสินคจำเป็นและพลังงาน อาจเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม
- หนี้ต่างประเทศ: ภาคเอกชนหรือรัฐบาลที่มีหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินบาท ทำให้ต้องกันเงินบาทจำนวนมากขึ้นเพื่อชำระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
- การลงทุนจากต่างประเทศ: ค่าเงินบาทที่ผันผวนและอ่อนค่าลงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในส่วนของการลงทุนโดยตรง (FDI) และการลงทุนในตลาดทุน (Portfolio Investment) อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานของประเทศยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพิจารณา
- ภาคการท่องเที่ยว: เงินบาทที่อ่อนค่าอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่ามากขึ้น เนื่องจากสามารถแลกเงินบาทได้จำนวนมากขึ้นด้วยสกุลเงินของตนเอง ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้
มุมมองและปัจจัยที่ต้องติดตาม
สถานการณ์ ค่าเงินบาท และทิศทางเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ปัจจัยที่นักลงทุนและผู้ประกอบการควรติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป ได้แก่:
- ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด): การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากเฟดยังคงส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ก็อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของประเทศเศรษฐกิจหลัก: ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมา โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ยูโรโซน และจีน จะบ่งชี้ถึงทิศทางและพลวัตการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
- สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก: ความขัดแย้งและความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ ของโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและราคาสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน
- ปัจจัยภายในประเทศของไทย: เสถียรภาพทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ และผลการดำเนินงานของภาคเอกชน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทิศทางค่าเงินบาทในระยะยาว
โดยสรุป การอ่อนค่าของเงินบาทในปัจจุบันเป็นผลพวงจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและพัฒนาการเชิงบวกด้านนโยบายการคลัง ซึ่งสวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ยังคงเปราะบาง ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมปรับตัวรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
#ค่าเงินบาท #บาทอ่อนค่า #เศรษฐกิจไทย #SCBFinancialMarkets #ดอลลาร์สหรัฐ #PMI #อัตราแลกเปลี่ยน #ข่าวเศรษฐกิจวันนี้ #การลงทุน #ตลาดการเงิน #เศรษฐกิจสหรัฐ #เศรษฐกิจยุโรป #นโยบายการคลังสหรัฐ