ขอนแก่น/มหาสารคาม, ประเทศไทย – ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนในเขตตรวจราชการที่ 12 ซึ่งครอบคลุม 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ได้แก่ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน ปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงที่คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะต่อไป โดยเน้นย้ำให้เร่งดำเนินการปรับปรุงแหล่งน้ำและระบบกักเก็บน้ำให้พร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 นายประเสริฐ ได้เป็นประธานการประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้ง 4 จังหวัด ร่วมรายงานสถานการณ์ปัญหาที่สำคัญของแต่ละพื้นที่ รวมถึงนายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาค นอกจากนี้ หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ยังได้เข้าร่วมการประชุมเพื่อนำเสนอข้อมูลและแนวทางการแก้ไขปัญหา
ภายหลังการประชุม นายประเสริฐได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในอำเภอโกสุมพิสัยและอำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม เพื่อประเมินสถานการณ์จริงและรับฟังข้อเสนอแนะจากหน่วยงานในระดับปฏิบัติ
ประเสริฐ ชูประเด็นเสี่ยง ‘ท่วม-แล้ง-ฝนทิ้งช่วง’ สั่งบูรณาการรับมือเข้มข้น
นายประเสริฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมและลงพื้นที่ว่า การเดินทางมาในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการด้านน้ำโดยตรงจากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการรับฟังรายงานพบว่า ยังคงมีบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย หากมีปริมาณฝนตกสะสมจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และเขตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สถานการณ์ที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือ แม้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่คาดการณ์ว่าในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม จะเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน ซึ่งจำเป็นต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำอย่างใกล้ชิด
ด้วยเหตุนี้ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กนช. จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
-
บูรณาการขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเข้มข้น: สั่งการให้ สทนช. ประสานงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อบูรณาการการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากทั้งอุทกภัยและฝนทิ้งช่วง ตามที่ สทนช. ได้คาดการณ์ไว้ว่าทั้ง 4 จังหวัด จะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ที่คาดว่าในช่วงเดือนกันยายนจะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงสูงสุดถึง 24 อำเภอ 142 ตำบล ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบและรัดกุม พร้อมเน้นย้ำให้มีการแจ้งเตือนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า และเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน จะต้องสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที
-
บริหารจัดการน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ: มอบหมายให้กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริหารจัดการน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยวางแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก
-
เร่งซ่อมแซมและปรับปรุงแหล่งน้ำ: สั่งการให้จังหวัด กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เร่งดำเนินการซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำ บ่อบาดาล รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความรับผิดชอบให้พร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างต่อเนื่อง
เตรียมพร้อมงบประมาณ สนับสนุนการบริหารจัดการน้ำยั่งยืน
นอกจากมาตรการเร่งด่วนดังกล่าว นายประเสริฐยังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระยะยาว เพื่อให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยได้สั่งการให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ และจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลโดยเร็ว
สทนช. ชี้สถานการณ์น้ำน่ากังวล เฝ้าระวังพายุ พร้อมบูรณาการข้อมูลแจ้งเตือนประชาชน
ด้าน นายไวฑิต โอชวิช รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานกลางว่า จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม อาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 1-2 ลูก โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่ง สทนช. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
ปัจจุบัน สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของทั้ง 4 จังหวัดยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น และอ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กอีกจำนวน 8,543 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวมกันอยู่ที่ 1,598.07 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นเพียง 32% ของความจุเก็บกักทั้งหมด ซึ่งน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
ขณะเดียวกัน สทนช. ยังได้คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยในช่วงเดือนพฤษภาคม ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น 7 อำเภอ อาทิ อำเภอบ้านไผ่ และอำเภอน้ำพอง จังหวัดกาฬสินธุ์ 16 อำเภอ อาทิ อำเภอดอนจาน และอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดมหาสารคาม 7 อำเภอ อาทิ อำเภอโกสุมพิสัย และอำเภอกุดตรัง และจังหวัดร้อยเอ็ด 17 อำเภอ อาทิ อำเภอทุ่งเขาหลวง และอำเภอจังหาร
“สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมแผนปฏิบัติการและดำเนินการตามภารกิจที่สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้แล้ว เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย รวมถึงวางแผนการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย โดย สทนช. จะติดตามผลการดำเนินการของมาตรการและประเมินสถานการณ์ฝนอย่างต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐให้ประชาชนได้เข้าถึงอย่างรวดเร็ว สามารถเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายไวฑิต กล่าวทิ้งท้าย
#สถานการณ์น้ำอีสาน #รับมือน้ำท่วม #รับมือภัยแล้ง #ฝนทิ้งช่วง #บริหารจัดการน้ำ #สทนช #กรมชลประทาน #ขอนแก่น #กาฬสินธุ์ #มหาสารคาม #ร้อยเอ็ด #รองนายกประเสริฐ