กาง ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ เดิมพันทางรอดเศรษฐกิจไทยบนเวทีโลกเดือด

กาง ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ เดิมพันทางรอดเศรษฐกิจไทยบนเวทีโลกเดือด

วงเสวนา Bangkok AI Week 2025 เผยพิมพ์เขียวอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ผู้เชี่ยวชาญจาก ETDA, ศิริราช และบลูบิค กรุ๊ป ชี้ชัด “ทางรอด” ไม่ใช่การทุ่มสร้าง AI แข่งยักษ์ใหญ่ แต่คือการ “เลือกสนามรบที่ใช่” มุ่งเป้าโมเดลเฉพาะทางและแอปพลิเคชัน ชู “อธิปไตยทาง AI” เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมจี้รัฐเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สร้าง” สู่ “ผู้สนับสนุน” เพื่อปลดล็อกศักยภาพตลาดมูลค่ามหาศาล ก่อนที่โอกาสสุดท้ายจะผ่านพ้นไป

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่เชี่ยวกรากทั่วโลก ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ไม่ได้ชี้วัดแค่ความก้าวหน้าทางนวัตกรรม แต่ยังชี้ชะตาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของทุกประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในเวทีเสวนาครั้งสำคัญหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ AI ไทย: วางจุดยืนอย่างไรในเวทีโลก” ภายในงาน Bangkok AI Week 2025 ภาพอนาคตและพิมพ์เขียวทางรอดของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยได้ถูกฉายออกมาอย่างชัดเจนและน่าขบคิด โดยผู้เชี่ยวชาญจากสามภาคส่วนสำคัญได้ร่วมกันถอดรหัสความท้าทายและชี้เป้าโอกาสที่ประเทศไทยต้องคว้าไว้

เวทีดังกล่าวประกอบด้วย ดร. ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโสจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลและส่งเสริมนโยบายดิจิทัลของภาครัฐ, นพ. ปิยะฤทธิ์ อิทธิชัยวงศ์ จาก SiData+ Center โรงพยาบาลศิริราช ผู้ซึ่งอยู่ในสมรภูมิการนำ AI มาใช้ในภาคสาธารณสุขที่ซับซ้อน และ นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันผู้คลุกคลีกับการนำเทคโนโลยีไปใช้ในภาคธุรกิจจริง บทสรุปที่ได้จากการเสวนาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ที่ตกผลึกจากประสบการณ์จริง และเป็นเสียงเตือนว่าการปรับตัวครั้งนี้คือ “ทางรอด” ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป

ถอดรหัสห่วงโซ่มูลค่า AI: ทำความเข้าใจก่อนวางเดิมพัน

ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ชาติ นายพชร อารยะการกุล ได้เริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานทำความเข้าใจระบบนิเวศของ AI ซึ่งเปรียบเสมือนห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ที่มี 4 ระดับชั้น โดยการจะกำหนดนโยบายการลงทุนและส่งเสริมได้นั้น จำเป็นต้องเข้าใจว่าโอกาสและต้นทุนในแต่ละชั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ชั้นล่างสุดคือ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) อันเป็นฐานรากที่สำคัญที่สุด ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังอย่างชิปประมวลผล (GPU) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งในจุดนี้ ประเทศไทยอยู่ในสถานะ “ผู้ซื้อ” ไม่ใช่ผู้ผลิต ถัดขึ้นมาคือ โมเดلพื้นฐาน (Foundation Models) หรือที่รู้จักกันในนาม Large Language Models (LLMs) เช่น ChatGPT ของ OpenAI หรือ Gemini ของ Google ซึ่งเปรียบเสมือน “สมองกลอัจฉริยะ” ที่มีความสามารถรอบด้าน และเป็นชั้นที่ทั่วโลกกำลังทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเพื่อแข่งขันกัน

ชั้นที่สามคือ โมเดลเฉพาะทาง (Customized/Specialized Models) ซึ่งเป็นชั้นที่นายพชรและผู้ร่วมเสวนาท่านอื่นมองว่าเป็น “ขุมทอง” ของไทย คือการนำโมเดลพื้นฐานมาพัฒนาต่อยอดด้วยข้อมูลเฉพาะทางของไทย เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญที่คู่แข่งระดับโลกไม่มี และชั้นบนสุดคือ แอปพลิเคชัน (Applications) หรือบริการที่ผู้บริโภคได้ใช้งานจริง ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างผลกระทบในวงกว้างได้รวดเร็วที่สุด

“อธิปไตยทาง AI” วาระแห่งชาติที่มองข้ามไม่ได้

เมื่อเข้าใจโครงสร้างแล้ว ดร. ศักดิ์ เสกขุนทด ได้หยิบยกประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด นั่นคือ “อธิปไตยทาง AI” (AI Sovereignty) ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของศักดิ์ศรี แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยตรง “ลองนึกภาพว่าหากการประมวลผลข้อมูลสำคัญของประเทศ ทั้งภาคการเงิน การแพทย์ หรือภาครัฐ ต้องวิ่งไปอยู่บน Data Center ของต่างชาติทั้งหมด เรากำลังนำความเสี่ยงมหาศาลมาผูกไว้กับตัว” ดร. ศักดิ์ กล่าว

ท่านได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อกระตุกความคิดว่า “กรณีที่ Apple Pay ถูกระงับการใช้งานในรัสเซียช่วงสงครามยูเครน คือบทเรียนที่ชัดเจนว่าการพึ่งพาเทคโนโลยีจากแหล่งเดียวโดยไม่มีทางเลือกสำรองนั้นอันตรายเพียงใดในยามวิกฤต” ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการลงทุน AI Data Center ในประเทศจึงไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติ

เลือกสนามรบที่ใช่: หยุดฝันลมๆ แล้งๆ แล้วมุ่งเป้าที่ “ทำได้จริง”

ประเด็นที่เป็นหัวใจของการเสวนาและได้รับความเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ คือยุทธศาสตร์การลงทุนของไทย ไม่ควรมุ่งเป้าไปที่การสร้าง Foundation Model เพื่อเอาชนะยักษ์ใหญ่ระดับโลก เพราะเป็นสมรภูมิที่ต้องใช้เงินทุนและทรัพยากรมหาศาลเกินกว่าศักยภาพของประเทศจะสู้ได้

นพ. ปิยะฤทธิ์ ให้ความเห็นอย่างเฉียบคมว่า “สนามรบที่เรามีโอกาสชนะไม่ใช่การสู้ด้วยขนาด แต่คือการสู้ด้วยความฉลาดและจินตนาการในการสร้าง ‘โมเดลขนาดเล็ก’ (Small Models) ที่มีความเฉพาะทางสูง”

นายพชร ได้ตอกย้ำประเด็นนี้ว่า ทิศทางที่ถูกต้องคือการทุ่มทรัพยากรไปยัง 2 ชั้นบนของห่วงโซ่มูลค่า นั่นคือ แอปพลิเคชัน และ โมเดลเฉพาะทาง ซึ่งเป็นจุดที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบจากข้อมูลในบริบทเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภาษาไทย วัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงข้อมูลทางการแพทย์และพันธุกรรมของคนไทย

นพ. ปิยะฤทธิ์ ได้เล่าถึงกรณีศึกษาจริงจากบริษัทของตนเองที่พัฒนาแอปพลิเคชันคำนวณแคลอรี่จากภาพถ่ายอาหาร ซึ่งสะท้อนภาพยุทธศาสตร์นี้ได้อย่างชัดเจน “หากเราใช้โมเดล AI ของต่างชาติ ต้นทุนต่อการประมวลผลภาพหนึ่งครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 5 บาท ซึ่งหากมีผู้ใช้งานหลักล้านคน ต้นทุนจะสูงจนไม่สามารถทำธุรกิจได้เลย แต่เมื่อเราลงทุนพัฒนาโมเดลเฉพาะทางของเราเอง ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องอาหารไทยโดยเฉพาะ เราสามารถลดต้นทุนลงมาเหลือเพียงไม่กี่สิบสตางค์ นี่คือข้อพิสูจน์ว่าการเลือกสนามรบที่ถูกต้องคือทางรอดทางเดียวของผู้ประกอบการไทย”

ยุทธศาสตร์ AI

3 คอขวดใหญ่ ฉุดรั้งเศรษฐกิจ AI ไทย

แม้จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่เส้นทางข้างหน้ายังมีอุปสรรคสำคัญ 3 ประการที่เป็น “คอขวด” ฉุดรั้งศักยภาพของประเทศ

  1. ข้อมูล: ขุมทรัพย์ที่ถูกพันธนาการ: ผู้ร่วมเสวนาต่างยอมรับว่าอุปสรรคที่ใหญ่กว่าการสร้างโมเดลคือ “การเข้าถึงข้อมูล” แม้ไทยจะมีข้อมูลล้ำค่า เช่น ข้อมูลพันธุกรรมมะเร็งที่มากที่สุดในอาเซียน แต่กฎหมาย PDPA และวัฒนธรรมองค์กรที่ยังไม่พร้อม ทำให้การแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง
  2. คน: ปัญหา “สมองไหล” ที่น่ากังวล: นพ. ปิยะฤทธิ์ ได้สะท้อนภาพที่น่าเจ็บปวดว่า “ผมมีเพื่อนๆ ที่จบปริญญาเอกด้านนี้กลับมาไทยด้วยความหวัง แต่กลับรู้สึกไม่ได้รับโอกาส ถูกมองว่ายังเด็กเกินไป จนสุดท้ายหลายคนต้องลาออกกลับไปทำงานที่อเมริกา” วิกฤตนี้คือการสูญเสียสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่มีค่าที่สุดของชาติไป ท่ามกลางสงครามแย่งชิงบุคลากร AI ที่รุนแรงทั่วโลก
  3. ตลาด: กำแพงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ: ผู้แทนจากสภาหอการค้าฯ ได้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างว่า บริษัท AI ของไทย โดยเฉพาะ Startups และ SMEs แทบไม่มีโอกาสเข้าถึงตลาดภาครัฐซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดได้ เนื่องจากติดขัดเงื่อนไข TOR ที่ซับซ้อน และการที่บริษัทตัวกลางขนาดใหญ่มักเลือกใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศที่ “ปลอดภัย” กว่า

พลิกบทบาทภาครัฐ: สู่ “ผู้สร้างตลาด” ไม่ใช่ “ผู้สร้างเทคโนโลยี”

ทางออกจากอุปสรรคทั้งสามนี้อยู่ที่การ “พลิกบทบาท” ของภาครัฐอย่างสิ้นเชิง ดร. ศักดิ์ ย้ำว่า “บทเรียนที่ผ่านมาสอนเราว่า ภาครัฐไม่ควรลงมาเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีเอง แต่ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น ‘ผู้อำนวยความสะดวกและผู้สร้างตลาด’ (Enabler & Demand Creator)

ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมคือการดำเนินการ 3 ด้านพร้อมกัน:

  • ปลดล็อกด้วยกฎหมาย: ผลักดัน พ.ร.บ. AI ที่มีความยืดหยุ่นสูง กำกับดูแลที่ “การนำไปใช้” ไม่ใช่ “ตัวเทคโนโลยี” เพื่อลดอุปสรรคและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
  • สร้างตลาดนำร่อง: กำหนดนโยบายให้หน่วยงานรัฐใน Sector ยุทธศาสตร์ เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, การท่องเที่ยว ต้องใช้โซลูชัน AI ที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อเป็นการสร้างตลาดแรกให้ผู้ประกอบการได้เติบโตและสร้างผลงานอ้างอิง
  • สร้างกลไกสนับสนุน: จัดตั้ง “คณะกรรมการ AI แห่งชาติ” และ “กองทุน AI” ที่มีเป้าหมายชัดเจน พร้อมทั้งปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น

ความหวังและโอกาสสุดท้ายที่ต้องลงมือทำ

บทสรุปจากเวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนทั้งความหวังและภาวะเร่งด่วน นายพชรได้ฝากคำแนะนำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังไว้ว่า “สิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนทำได้ในตอนนี้ คือจงช่วยกันใช้ AI” เพราะการใช้งานคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และสร้างตลาด

ขณะที่ นพ. ปิยะฤทธิ์ ได้กล่าวปิดท้ายอย่างน่าเก็บไปคิดว่า “ในอดีตเราเคยเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ผมเชื่อว่าคนไทยเก่งและสู้ได้ แต่เราต้องปลุกพลังนั้นกลับมา นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะก้าวกระโดด หากเราไม่สู้ตอนนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก”

สุดท้ายนี้ ยุทธศาสตร์ AI ของชาติจึงไม่ใช่เพียงเอกสารบนแผ่นกระดาษ แต่เป็นพิมพ์เขียวทางรอดทางเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยการลงมือทำอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน การเปลี่ยนผ่านทางความคิด และความกล้าหาญที่จะเดิมพันกับอนาคตของตัวเอง ก่อนที่ขบวนรถไฟแห่งโอกาสขบวนสุดท้ายนี้จะเคลื่อนผ่านไปโดยไม่หวนกลับมา

#ยุทธศาสตร์AIไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #AIforThailand #AIGovernance #ETDA #Bluebik #Siriraj #เทคโนโลยี #การลงทุน #นโยบายเศรษฐกิจ

Related Posts