กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร มั่นใจผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2568 เติบโตแข็งแกร่ง รับอานิสงส์การรับรู้รายได้จากธุรกิจน้ำตาลและกากน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น พร้อมธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ทั้งเยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย และโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่เติบโตตามปริมาณวัตถุดิบ ขณะเดียวกันมองการณ์ไกลถึงฤดูการผลิตปี 2568/69 คาดผลผลิตอ้อยพุ่งสูงจากปริมาณฝนที่ตกต้องตามฤดูกาลและการส่งเสริมเกษตรกรอย่างเข้มข้น ตอกย้ำวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นองค์กร BCG อย่างยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรที่มุ่งพัฒนาธุรกิจตามแนวทาง BCG (Bio-Circular-Green Economy) อย่างยั่งยืน ได้เปิดเผยทิศทางและปัจจัยบวกที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รวมถึงแนวโน้มผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่คาดว่าจะสดใสอย่างยิ่ง
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจอ้อยและน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มKTIS ได้ร่วมกันให้ข้อมูลต่อนักลงทุนและสื่อมวลชน (ดังปรากฏในภาพข่าวประชาสัมพันธ์ ) โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว
ปัจจัยบวกหนุนผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2568
ผู้บริหารกลุ่มKTIS แสดงความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลักและธุรกิจต่อเนื่อง
- ธุรกิจน้ำตาลทรายและกากน้ำตาล: คาดการณ์ว่าจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจน้ำตาลทรายและกากน้ำตาลมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นไปตามวงจรธุรกิจและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น กากน้ำตาลซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล ยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และการผลิตเอทานอล ซึ่งความต้องการที่ต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อรายได้ของกลุ่มบริษัท
- ธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย: สายธุรกิจผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญของกลุ่มKTIS คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยหนุนสำคัญคือปริมาณวัตถุดิบ (ชานอ้อย) ที่มีมากขึ้นจากกระบวนการหีบอ้อย ทำให้สามารถป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตเยื่อกระดาษได้อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทั้งนี้ เยื่อกระดาษจากชานอ้อยเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์กระแสความยั่งยืนและความต้องการใช้วัสดุทดแทนไม้จากป่าธรรมชาติ
- บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยบริสุทธิ์ 100%: เช่นเดียวกับธุรกิจเยื่อกระดาษ ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ก็คาดว่าจะเติบโตได้ดีจากปริมาณวัตถุดิบชานอ้อยที่เพิ่มขึ้น บรรจุภัณฑ์เหล่านี้กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ลดปัญหาขยะพลาสติก และสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่กลุ่ม KTIS ให้ความสำคัญ
- โรงไฟฟ้าชีวมวล: กลุ่มKTIS ยังดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงหลัก คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปริมาณวัตถุดิบ (ชานอ้อย) ที่มีมากขึ้น การมีวัตถุดิบที่เพียงพอช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับโรงงานในกลุ่ม และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าส่วนเกินเข้าระบบ ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังเป็นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาด
การเติบโตของธุรกิจต่างๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรของ KTIS ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยได้อย่างเต็มศักยภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และสอดรับกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
มองข้ามช็อต: ผลผลิตอ้อยปี 2568/69 สดใส รับฝนดี-เกษตรกรขยายพื้นที่
นอกเหนือจากแนวโน้มเชิงบวกในครึ่งปีหลังของปี 2568 แล้ว ผู้บริหารกลุ่มKTIS ยังแสดงความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งต่อผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่กำลังจะมาถึง โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบและคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายประพันธ์และนายสมชายได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการคาดการณ์ดังกล่าวว่า “ด้วยปริมาณฝนที่ตกมากและเร็วในปีนี้ จะส่งผลดีต่อผลผลิตอ้อยในฤดูการผลิตปี 2568/69” ปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอและกระจายตัวอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นฤดูเพาะปลูก ถือเป็นปัจจัยธรรมชาติที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของอ้อย ช่วยให้อ้อยมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีศักยภาพในการให้ผลผลิตน้ำตาลสูง
นอกจากปัจจัยด้านสภาพอากาศแล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่:
- การขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อย: พบว่าเกษตรกรชาวไร่อ้อยมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของราคาอ้อยและน้ำตาล รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก
- การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด: ฝ่ายไร่ของกลุ่มKTIS ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมในการเพาะปลูกอ้อยให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ ความร่วมมือนี้ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมดิน การเลือกพันธุ์อ้อย การจัดการน้ำและปุ๋ย ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว
- ส่งเสริมอุปกรณ์การตัดอ้อยสด: กลุ่มKTIS ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับการตัดอ้อยสด เพื่อลดปัญหาการเผาอ้อยก่อนตัด ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5 การตัดอ้อยสดไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพของอ้อย ทำให้ได้น้ำอ้อยที่มีความบริสุทธิ์สูง และสอดคล้องกับมาตรฐานการผลิตที่ยั่งยืน
- ส่งเสริมความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ: มีการนำเสนอและส่งเสริมความรู้ รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตอ้อยต่อไร่ให้กับเกษตรกร เช่น การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การจัดการน้ำแบบแม่นยำ การใช้โดรนเพื่อการเกษตร หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการวางแผนและติดตามการเพาะปลูก
จากปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ ผู้บริหารกลุ่มKTIS จึงมั่นใจว่าจะทำให้ได้ผลผลิตอ้อยต่อไร่สูงขึ้นในฤดูการผลิต 2568/69 ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท สร้างความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจโดยรวม
มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจสู่ BCG อย่างยั่งยืน
กลุ่มKTIS ยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) การให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย การส่งเสริมการตัดอ้อยสด การนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล เช่น ชานอ้อยและกากน้ำตาล มาสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ พลังงานชีวมวล เยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเอทานอล ล้วนเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการ BCG อย่างเป็นรูปธรรม
การมองการณ์ไกลถึงผลผลิตอ้อยในปีหน้า และการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเกษตรกร การพัฒนาเทคโนโลยี หรือการบริหารจัดการวัตถุดิบ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารกลุ่มKTIS ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจในระยะสั้น แต่ยังคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทย และขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้นำด้าน BCG ในระดับสากลต่อไป.
#KTIS #เกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนลชูการ์คอร์ปอเรชั่น #อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล #ผลผลิตอ้อย #น้ำตาล #เศรษฐกิจชีวภาพ #เศรษฐกิจหมุนเวียน #เศรษฐกิจสีเขียว #BCGModel #โรงไฟฟ้าชีวมวล #เยื่อกระดาษชานอ้อย #บรรจุภัณฑ์ชานอ้อย #เกษตรยั่งยืน #ข่าวเศรษฐกิจ