เอสซีจี ชูโมเดล Saraburi Sandbox พลิกโฉมสระบุรีสู่ “เมืองคาร์บอนต่ำต้นแบบ”

เอสซีจี ชูโมเดล Saraburi Sandbox พลิกโฉมสระบุรีสู่ “เมืองคาร์บอนต่ำต้นแบบ”

เอสซีจี โชว์โมเดลต้นแบบ บนเวที INTERCEM 2025 หลังผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน-ประชาชน ปั้น “Saraburi Sandbox” ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ชู 5+1 แนวทางลดก๊าซเรือนกระจก 5 ล้านตันภายในปี 2570 ตั้งเป้าเป็น “ห้องทดลองที่มีชีวิต” ขยายผลสู่จังหวัดอื่น รับมือ Climate Change สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมดึงดูดการลงทุนสีเขียว ขานรับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ประเทศไทยได้แสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม หนึ่งในโครงการสำคัญที่ถูกจับตามองอย่างยิ่งคือ “Saraburi Sandbox” ซึ่งได้รับการผลักดันจากยักษ์ใหญ่วัสดุก่อสร้างและเคมีภัณฑ์อย่าง เอสซีจี (SCG) ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในจังหวัดสระบุรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย และเป็น “ห้องทดลองที่มีชีวิต” สำหรับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวมาประยุกต์ใช้ในบริบทจริง ก่อนขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ ต่อไป

ในการบรรยายพิเศษ ณ งาน INTERCEM Asia 2025 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 คุณเจริญชัย เฉลียวเกรียงไกร ในฐานะ Bio-Circular Business Director ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ และประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ได้ฉายภาพความคืบหน้าและความมุ่งมั่นของโครงการ Saraburi Sandbox อย่างละเอียด โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และบทบาทของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซีเมนต์ ในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

คุณเจริญชัยกล่าวว่า “โครงการ Saraburi Sandbox ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการพลิกโฉมทั้งจังหวัด เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ” ซึ่งสอดรับกับบทบาทของจังหวัดสระบุรีที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมซีเมนต์ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด และเป็นจังหวัดที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพมหานคร ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่สระบุรีจึงมีความหมายอย่างยิ่งยวดต่อเป้าหมายโดยรวมของประเทศ

โครงการ Saraburi Sandbox ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดสระบุรีลงให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) ภายในปี 2570 จากฐานการปล่อยในปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 22.1 ล้านตัน โดยสองในสามของปริมาณการปล่อยนี้มาจากภาคอุตสาหกรรมซีเมนต์และกระบวนการทางอุตสาหกรรม (IPPU) ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข

เอสซีจี

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนโครงการนี้คือ “กลยุทธ์ 5+1” ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้ไว้ในระดับประเทศ (Nationally Determined Contributions หรือ NDC) ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน 2. การจัดการของเสียเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Waste to Value) เปลี่ยนขยะให้เป็นทรัพยากรหรือพลังงานทางเลือกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

3. การปรับปรุงกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์สีเขียว (IPPU – Green Industry & Green Products) โดยเฉพาะการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมซีเมนต์ 4. การส่งเสริมเกษตรคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Agriculture) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรม และ 5. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Green Spaces) เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

สิ่งที่ทำให้ Saraburi Sandbox มีความโดดเด่นคือแนวทางที่ “+1” นั่นคือ “การบูรณาการความรับผิดชอบและการกำกับดูแล” ผ่านโมเดลความร่วมมือ “Quadruple P” ซึ่งหมายถึงการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ (Public), ภาคเอกชน (Private), ภาคประชาชน (People), และอาจรวมถึงภาคประชาสังคมหรือองค์กรการกุศล (Philanthropy) เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา Saraburi Sandbox ได้ริเริ่มและดำเนินโครงการต่างๆ มากมาย กระจายตัวอยู่ใน 38 สถานที่ ครอบคลุม 17 โครงการหลักทั่วจังหวัดสระบุรี แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม อาทิ ด้านพลังงาน มีโครงการเรือธงอย่าง “โซลาร์ลอยน้ำ (Solar Floating)” ที่อ่างเก็บน้ำคลองเพรียว ซึ่งมีศักยภาพผลิตไฟฟ้าถึง 8 เมกะวัตต์ ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และโครงการ “Solar Carport” ที่ศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 412.8 กิโลวัตต์ และช่วยลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 301 ตันต่อปี

ด้านอุตสาหกรรมซีเมนต์ (IPPU) ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของสระบุรี มีการผลักดันการใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” (Hydraulic Cement) ซึ่งเป็นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง จนปัจจุบันมีการใช้งานในสระบุรีแล้วกว่า 80-90% และที่น่ายินดีคือปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกนี้จะได้รับการประกาศให้เป็นมาตรฐานบังคับในราชกิจจานุเบกษาในเดือนเมษายน 2568 นี้ นอกจากนี้ สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก ยังได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Thailand Carbon Capture, Utilization, and Storage Alliance (TCCA) เพื่อผลักดันเทคโนโลยี CCUS ในประเทศไทยต่อไป

ด้านการจัดการของเสีย ได้นำ “แบบจำลองการจัดการของเสียแบบหมุนเวียน (Regenerative Model)” มาใช้ โดยมีโครงการนำร่อง “โรงเรียนชุมชนปลอดขยะ (Zero Waste School Community)” ใน 13 โรงเรียน ส่งเสริมการจัดการขยะอาหารเพื่อผลิตปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ การผลิตเชื้อเพลิงขยะ (RDF) และการจัดตั้งธนาคารขยะ

ด้านเกษตรคาร์บอนต่ำ มีการส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD)” ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึง 40% และลดการใช้น้ำลงกว่าหนึ่งในสาม รวมถึง “การปลูกพืชพลังงาน” เช่น หญ้าเนเปียร์ เพื่อลดปัญหา PM2.5 จากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และสร้างแหล่งเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับอุตสาหกรรมซีเมนต์

ด้านพื้นที่สีเขียว มีโครงการ “ป่าชุมชนเปลี่ยนอนาคต (Forests for the Future)” อนุรักษ์ป่าชุมชน 38 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,000 เอเคอร์ และส่งเสริม “การท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนอย่างยั่งยืน” เช่น โครงการ “Saraburi Grand Moment” เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน และผลักดันการรับรองคาร์บอนเครดิตจากการอนุรักษ์ป่าไม้

คุณเจริญชัยยังได้เน้นย้ำถึง 4 ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญสู่ความสำเร็จของโครงการ ได้แก่ นโยบายที่ต้องปลดล็อกอุปสรรค, การเงินโดยเฉพาะแหล่งเงินทุนสีเขียว, เทคโนโลยีการลดคาร์บอนที่เหมาะสม, และธรรมาภิบาลที่สร้างความร่วมมือข้ามภาคส่วน โดยจังหวัดสระบุรีได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาหลายชุดภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโลก เช่น World Economic Forum ซึ่งได้บรรจุให้ Saraburi Sandbox เป็น “คลัสเตอร์อุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศไทย” ที่เข้าร่วมโครงการริเริ่ม “Transitioning Industrial Clusters”, มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, UNIDO, WBCSD, IFC และ Green Climate Fund

“เราไม่ได้มองว่านี่เป็นเพียงโครงการของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แต่เราหวังว่า Saraburi Sandbox จะเป็น ‘ห้องทดลองที่มีชีวิต’ เป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเร่งให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้เร็วยิ่งขึ้น” คุณเจริญชัยกล่าวทิ้งท้าย

ผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่ได้จากการดำเนินโครงการ Saraburi Sandbox จะถูกรวบรวมและจัดทำเป็น “สมุดปกขาว (White Paper)” เพื่อนำเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในงาน SCG ESG Symposium ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง ความสำเร็จของ Saraburi Sandbox ไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของจังหวัดสระบุรี แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนสีเขียว และการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน

#SaraburiSandbox #เมืองคาร์บอนต่ำ #NetZeroThailand #SCG #เศรษฐกิจสีเขียว #ClimateChange #ESG #นวัตกรรมกรีน #อุตสาหกรรมซีเมนต์ #พลังงานสะอาด #การจัดการขยะ #เกษตรยั่งยืน #พื้นที่สีเขียว #INTERCEMAsia2025 #สระบุรีโมเดล #ลดโลกร้อน #การพัฒนาที่ยั่งยืน

Related Posts