SPCG โชว์ผลงานไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 139.5 ล้านบาท เติบโต 9.19%

SPCG โชว์ผลงานไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 139.5 ล้านบาท เติบโต 9.19%

บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ผู้บุกเบิกและผู้นำด้านการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกาศผลการดำเนินงานอันแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2568 โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 534.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 9.19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q4/2567) สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่โดดเด่น ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมพลังงาน

บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโครงการโซลาร์ฟาร์มบางส่วนจะสิ้นสุดระยะเวลาการได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) แล้วก็ตาม SPCG ยังคงยืนหยัดด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำเพียง 0.02 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568

ความสำเร็จในไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญของ SPCG ในการดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาดมาอย่างยาวนาน จากการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการล่าสุด SPCG สามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้งหมด 36 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 260 เมกะวัตต์ ได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 102.1 ล้านหน่วย ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานการผลิตระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ได้ให้ทัศนะต่อผลการดำเนินงานในครั้งนี้ว่า “ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าและสามารถสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับที่น่าพอใจ” ท่านได้กล่าวเสริมว่า ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตนี้มาจาก “เทรนด์การประหยัดพลังงานที่ส่งผลให้มีความต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งสอดรับกับข้อมูลจากหลายสำนักวิจัยที่ชี้ว่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดอาจสูงถึง 6.7 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงจากข้อมูลแนวโน้มตลาด) อันเป็นผลมาจากราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น และความตื่นตัวของภาคประชาชนและภาคธุรกิจในการลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ดร.วันดี ย้ำว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มให้สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมองโอกาสขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรักษาผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่ดี รวมถึงสามารถสร้างผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ”

ปัจจุบัน SPCG ไม่ได้จำกัดการลงทุนอยู่เพียงในประเทศไทย แต่ยังได้ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เช่น โครงการโซลาร์ฟาร์ม Tottori Yonago Mega Solar ขนาด 30 เมกะวัตต์ และโครงการ Ukujima Mega Solar Project ขนาด 480 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น (อ้างอิงจากข้อมูลบริษัท SPCG) ซึ่งการขยายการลงทุนไปยังต่างแดนนี้ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและเปิดโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ ให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนและผู้สนใจในอุตสาหกรรมพลังงานจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ การทยอยสิ้นสุดระยะเวลาการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ของโครงการโซลาร์ฟาร์มรุ่นแรกๆ ในประเทศไทย ซึ่งโครงการ Adder นี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ประมาณปี 2550 และมีอายุสัญญาประมาณ 10 ปี โดยให้ราคา Adder สูงถึง 8 บาทต่อหน่วย ก่อนจะลดลงเหลือ 6.50 บาทต่อหน่วยในภายหลัง (อ้างอิงจากข้อมูลโครงการ Adder) การสิ้นสุด Adder อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายราย

อย่างไรก็ตาม SPCG ได้แสดงความเชื่อมั่นและเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี ดังเห็นได้จากผลประกอบการในไตรมาสนี้ที่ยังคงเติบโตได้แม้จะมีการรับรู้รายได้ที่ปราศจาก Adder ในบางโครงการแล้วก็ตาม บริษัทฯ เน้นย้ำถึงการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงาน (O&M) อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และการรักษาความพร้อมของโรงไฟฟ้า (Availability Factor) ให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

SPCG

ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของSPCG ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest Bearing Debt to Equity Ratio) อยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.02 เท่า ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวินัยทางการเงินที่ยอดเยี่ยม แต่ยังบ่งชี้ถึงความพร้อมและความยืดหยุ่นของบริษัทฯ ในการระดมทุนเพื่อขยายการลงทุนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ๆ การเข้าซื้อกิจการ หรือการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแข่งขันของSPCG ในระยะยาว

นอกเหนือจากธุรกิจโซลาร์ฟาร์มแล้ว SPCG ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟ ผ่านทางบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดย SPR ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดโซลาร์รูฟในประเทศไทยและอาเซียน (อ้างอิงจากข้อมูลบริษัทSPCG) และเป็นผู้นำในการให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟครบวงจร ทั้งสำหรับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม กระแสความต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านราคาค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น และความต้องการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับSPCG ในการสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มเติม

ภาพรวมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่ตั้งเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้สูงขึ้นในอนาคต แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้เล่นทั้งรายเดิมและรายใหม่ แต่ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญอันยาวนาน เทคโนโลยีที่ทันสมัย บุคลากรที่มีคุณภาพ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง SPCGจึงยังคงมีความได้เปรียบในการแข่งขันและพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 (ปีก่อนหน้า) ซึ่งมีรายงานว่ากำไรสุทธิปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (อ้างอิงจากข้อมูลผลประกอบการSPCG ปี 2567) การฟื้นตัวและเติบโตของกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 นี้ จึงเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของSPCG ในการปรับตัวและบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ 9.19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่มีรายได้ 455.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 127.8 ล้านบาท เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงแนวโน้มการฟื้นตัวดังกล่าว

สำหรับนักลงทุน การจ่ายเงินปันผลเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ให้ความสนใจ SPCGมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากหักเงินสำรองต่างๆ (อ้างอิงจากข้อมูล SET) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ การรักษาผลการดำเนินงานที่ดีและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของSPCG เพื่อที่จะสามารถตอบแทนผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน

โดยสรุป ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของSPCG เป็นที่น่าพอใจและสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักด้านพลังงานแสงอาทิตย์ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และความพร้อมในการปรับตัวต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์ม การขยายตลาดโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง และการแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับฐานะทางการเงินที่มั่นคง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้SPCG สามารถรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

#SPCG #ผลประกอบการSPCG #Q1ปี68 #พลังงานแสงอาทิตย์ #โซลาร์เซลล์ #โซลาร์รูฟ #หุ้นพลังงาน #การลงทุน #เศรษฐกิจ #ประเทศไทย #พลังงานสะอาด #GoGreenWithSPCG

Related Posts