ไทย-กัมพูชา จับมือยกระดับจัดการน้ำข้ามพรมแดน ปูทาง MOU แก้ปัญหา

ไทย-กัมพูชา จับมือยกระดับจัดการน้ำข้ามพรมแดน ปูทาง MOU แก้ปัญหา

ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลงยกระดับความร่วมมือจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน เตรียมจัดทำ MoU มุ่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้งอย่างยั่งยืน พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม หวังเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนสองฝั่งลุ่มน้ำ

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เผยผลสำเร็จการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำฯ กัมพูชา เห็นพ้องยกระดับความร่วมมือจัดการน้ำผ่านกลไก MoU ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนวิชาการ นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร ด้าน สทนช. ขานรับ เตรียมขับเคลื่อนแผนงานร่วมกัน แก้ปัญหาอุทกภัย ภัยแล้งในลุ่มน้ำโตนเลสาบอย่างเป็นรูปธรรม สร้างประโยชน์ร่วมกันระดับภูมิภาค

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมหารือความร่วมมือทวิภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ โดยมี ฯพณฯ ธาว เชตฐา (H.E. Mr. Thor Chetha) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำและอุตุนิยมวิทยาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และคณะผู้แทนระดับสูงเข้าเยี่ยมคารวะและร่วมประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การยกระดับความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับมือกับความท้าทายจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อเป็นกลไกและกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ “การยกระดับความร่วมมือผ่านการจัดทำ MoU จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชามีความเข้มแข็งและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมเสริมว่า “เรามุ่งหวังที่จะเห็นการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและองค์ความรู้ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของสองประเทศได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด”

ประเด็นสำคัญภายใต้กรอบความร่วมมือที่คาดว่าจะบรรจุใน MoU นั้น ครอบคลุมมิติที่หลากหลาย ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการทำฝนเทียมเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ที่ต้องการน้ำ การบริหารจัดการทะเลสาบอย่างยั่งยืน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของประชาชน ไปจนถึงการพัฒนาบุคลากรด้านการจัดการข้อมูลและสารสนเทศด้านน้ำ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจวางแผนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการประหยัดน้ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในทุกภาคส่วน เพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

ทางด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากกัมพูชา ได้กล่าวเสริมถึงที่มาของการประชุมหารือในครั้งนี้ว่า เกิดจากความเชื่อมั่นของประเทศกัมพูชาที่มีต่อศักยภาพและประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย “ประเทศกัมพูชามีความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย จึงมีความประสงค์ที่จะหารือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิด” ดร.สุรสีห์ กล่าว “การเสนอจัดทำ MoU กับ สทนช. จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการร่วมมือกับไทย เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง”

ไทย-กัมพูชา

เลขาธิการ สทนช. ยังได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมายของ MoU ว่า จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงภาคเกษตรกรรมและเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการบูรณาการข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ทั้งสองประเทศมีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน สามารถนำมาใช้ในการวางแผนและตัดสินใจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการวางกรอบความร่วมมือในอนาคต ที่ประชุมยังได้ทบทวนและหารือถึงความคืบหน้าในการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ซึ่งเป็นลุ่มน้ำที่มีความสำคัญร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยมีการดำเนิน “โครงการบริหารจัดการอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่ชายแดน (9C-9T)” ซึ่งเป็นโครงการภายใต้กรอบความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 โครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยของลุ่มน้ำโตนเลสาบ ในเขตจังหวัดสระแก้วและจันทบุรีของประเทศไทย และจังหวัดบันเตียเมียนเจย จังหวัดพระตะบอง และจังหวัดไพลิน ของประเทศกัมพูชา

โครงการ 9C-9T มีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยและภัยแล้งข้ามพรมแดนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในลุ่มน้ำ และที่สำคัญคือการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้กรอบ MRC ได้ดำเนินไปในหลายมิติและมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การมาเยือนประเทศไทยและการหารือร่วมกันในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการต่อยอดและเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความเข้มแข็งและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

การยกระดับความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายด้านน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มน้ำและชุมชนในพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น การบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประชาชนจำนวนมาก ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาน้ำในการผลิต รวมถึงการลดต้นทุนความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองประเทศ และยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมืออันดีในระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีจะช่วยให้เกิดการพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และสามารถนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระยะยาว

ความสำเร็จของการหารือและความมุ่งมั่นในการจัดทำ MoU ครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันของผู้นำทั้งสองประเทศในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคงและมั่งคั่งร่วมกันของประชาชนชาวไทยและชาวกัมพูชาสืบไป.

#ไทยกัมพูชา #บริหารจัดการน้ำ #MoU #ทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน #แก้ปัญหาน้ำท่วม #แก้ปัญหาภัยแล้ง #ความร่วมมือทวิภาคี #ลุ่มน้ำโตนเลสาบ #MRC #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #สทนช #เศรษฐกิจชายแดน #การพัฒนาที่ยั่งยืน #เทคโนโลยีน้ำ #นวัตกรรมน้ำ

Related Posts