บอร์ดบีโอไอ ชุดใหญ่ไฟเขียว “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” อัดฉีดสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม กระตุ้นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าและผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าหันมาใช้ชิ้นส่วน “Made in Thailand” ตั้งเป้าเสริมแกร่งซัพพลายเชนไทย ปั้นผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่เวทีโลก พร้อมคุมเข้มกิจการกลุ่มเสี่ยง ตั้ง “ทีมตรวจสอบพิเศษ” สกัดการสวมสิทธิ และอนุมัติ 2 โครงการลงทุนยักษ์ใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเห็นชอบมาตรการเชิงรุกเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก ควบคู่ไปกับการสร้างความสมดุลและลดความเสี่ยงทางการค้า
ประเด็นสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือการอนุมัติ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” ซึ่งถือเป็นเครื่องมือชิ้นใหม่ที่จะเข้ามาผลักดันให้เกิดการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสองอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง
เจาะลึกมาตรการ Local Content ปลดล็อกสิทธิประโยชน์เพิ่ม
มาตรการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจทางการเงินโดยตรงแก่นักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ โดยบีโอไอได้กำหนดเงื่อนไขและสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
- ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) และเครื่องใช้ไฟฟ้า: ต้องมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศในสัดส่วน มากกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด
- ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV): ต้องมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศในสัดส่วน มากกว่าร้อยละ 45 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด
- ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า: ต้องมีการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วน มากกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด
โครงการที่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้น และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ
“Made in Thailand (MiT)” จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือ การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เป็นระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 2 ปี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงเบื้องหลังของมาตรการนี้ว่า เป็นความพยายามที่จะเร่งรัดให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตรายใหญ่จากต่างชาติกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ที่ผ่านมา บีโอไอได้สนับสนุนให้บริษัทที่เข้ามาลงทุนใช้ชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการในประเทศผ่านการจัดกิจกรรม Subcon Thailand และ Sourcing Day อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันผู้ผลิตจากต่างประเทศเริ่มมีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น แต่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการใช้ Local Content สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า บีโอไอจึงได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ สถาบันยานยนต์ และสถาบันไฟฟ้าฯ เพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content ที่จะช่วยกระตุ้นให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศตามที่บอร์ดบีโอไอกำหนด จึงจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยข้อมูลจากบีโอไอระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 มีโครงการในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 65 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 96,000 ล้านบาท ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามี 68 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 96,800 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและขนาดของอุตสาหกรรม ซึ่งหากสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศได้ตามเป้าหมาย จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจฐานรากและอุตสาหกรรมสนับสนุนได้อย่างมหาศาล
ยกระดับการกำกับดูแล คุมเข้มกิจการเสี่ยง-ตั้งทีมตรวจสอบพิเศษ
นอกเหนือจากการออกมาตรการส่งเสริมเชิงรุก บีโอไอยังได้เพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแลกิจการที่ได้รับการส่งเสริม เพื่อสร้างสมดุลการแข่งขันและป้องกันผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น โดยได้ปรับปรุงเงื่อนไขในหลายประเภทกิจการ ดังนี้
- จำกัดสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ: กิจการ ผลิตเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน, การผลิตกระเป๋า และการผลิตสิ่งพิมพ์ กำหนดให้ต้องมีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เพื่อปกป้องผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง ยกเว้นโครงการที่ตั้งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
- งดสิทธิถือครองที่ดิน: สำหรับกิจการที่อาจมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น กิจการรีด ดึง หล่อ หรือทุบโลหะ, กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขโดย งดให้สิทธิในการถือครองที่ดินเพื่อประกอบการ ซึ่งมาตรการนี้จะผลักดันให้โรงงานเหล่านี้ต้องเข้าไปตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมที่มีระบบการกำกับดูแลที่รัดกุมและเป็นมาตรฐาน โดยจะมีผลสำหรับโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
- จัดตั้ง “ทีมตรวจสอบพิเศษ”: บีโอไอได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ การผลิตยางล้อ, เซลล์แสงอาทิตย์, ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน, กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ เพื่อป้องกันการทำผิดเงื่อนไขบัตรส่งเสริม หรือการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง
นายนฤตม์ ได้เน้นย้ำถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการตรวจสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส
“บีโอไอจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อสนับสนุนการติดตามและตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ทั้งระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ Traffy Fondue และระบบ Social Listening รวมถึงการนำระบบ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน และการประเมินความเสี่ยงในการทำผิดเงื่อนไข เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในดำเนินงาน และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการตรวจสอบข้อสงสัยและข้อร้องเรียนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที”
อนุมัติ 2 บิ๊กโปรเจกต์ ดาต้าเซ็นเตอร์-การบิน มูลค่า 2.8 หมื่นล้าน
ที่ประชุมบอร์ดยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่ 2 โครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวม 28,644 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของประเทศไทย ได้แก่
- โครงการ Data Center ของบริษัท สตราตัส เทคโนโลยี จำกัด: มูลค่าลงทุนสูงถึง 23,688 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง เป็นศูนย์ข้อมูลระดับ Tier 3 ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้ามากถึง 203 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเข้ามาเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
- กิจการขนส่งทางอากาศ ของบริษัท ไทย เวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด: มูลค่าลงทุน 4,956 ล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องบินโดยสารใหม่จำนวน 6 ลำ รวม 1,134 ที่นั่ง สำหรับให้บริการเส้นทางบินทั้งในและต่างประเทศ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ในภูมิภาค และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุป การประชุมบอร์ดบีโอไอครั้งนี้ได้ออกมาตรการที่ครอบคลุมทั้งมิติของการ “ส่งเสริม” และ “กำกับ” ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายเชิงรุกที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายในผ่านนโยบาย Local Content ขณะเดียวกันก็วางเกราะป้องกันให้กับอุตสาหกรรมที่เปราะบางและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลต่อไป
“บีโอไอส่งเสริมการลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติ ทุกขนาดการลงทุน”
#บีโอไอ #BOI #LocalContent #ส่งเสริมการลงทุน #EV #ยานยนต์ไฟฟ้า #MadeInThailand #เศรษฐกิจไทย #มาตรการรัฐ #สภาอุตสาหกรรม #การลงทุน #ดาต้าเซ็นเตอร์ #อุตสาหกรรมการบิน