กระทรวงดิจิทัลฯ ออกโรงเตือนภัยข่าวปลอมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาแพร่สะพัดหนักในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็นปิดด่านชายแดน ย้ำไม่เป็นความจริง วอนประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการก่อนเชื่อหรือแชร์ ป้องกันความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกในสังคม พร้อมชี้การเผยแพร่ข้อมูลเท็จมีโทษทางกฎหมาย
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สถานการณ์ ข่าวปลอม ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชายังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกมาแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเชื่อหรือเผยแพร่ต่อ หลังจากตรวจพบการบิดเบือนข้อมูลจำนวนมากในสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสนใจ ความเข้าใจผิด และความสับสนในวงกว้าง
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อความและภาพที่อ้างอิงถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นจำนวนมาก และพบว่าข้อมูลส่วนใหญ่ถูกบิดเบือนเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก วิตกกังวล และสร้างความสับสนวุ่นวายในสังคมเป็นวงกว้าง
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti-Fake News Center) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดีอี ได้ดำเนินการตรวจสอบและพบว่ามีข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากถึง 33 ข่าว และในจำนวนนี้ มีถึง 9 ข่าวที่เป็นข่าวปลอมซึ่งได้รับการยืนยันและตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในประเด็นข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด และสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง คือข่าวที่อ้างว่า “รัฐบาลไทยเตรียมประกาศปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา 6 แห่ง”
การยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการดำเนินการปิดกั้น:
นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงดีอีไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าว และได้มีการประสานงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) รวมถึงหน่วยงานชายแดนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกหน่วยงานได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าข่าวการปิดด่านชายแดนนั้น ไม่เป็นความจริง และด่านชายแดนทุกแห่งยังคงเปิดให้บริการตามปกติ จากการตรวจสอบพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นการสร้างข้อมูลปลอมขึ้น และทางกระทรวงฯ ได้ดำเนินการปิดกั้นการเผยแพร่ข่าวปลอมดังกล่าวแล้ว เพื่อลดผลกระทบและความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
ความละเอียดอ่อนของประเด็นชายแดน และการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด:
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้เน้นย้ำถึงความละเอียดอ่อนของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า “เรื่องเขตแดนไทย–กัมพูชาเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของคนทั้ง 2 ประเทศ การแชร์ข่าวปลอมยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น” นอกจากข่าวปลอมเรื่องการปิดด่านแล้ว ยังมีประเด็นน่ากังวลอื่น ๆ ที่ตรวจพบ เช่น การสร้างและเผยแพร่ภาพที่ผลิตจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีเจตนายั่วยุให้เกิดความรุนแรง หรือการเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงกรณีข่าวลือเรื่องการปลดแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและสร้างความสับสน
นายประเสริฐ ได้กล่าวเสริมว่า “ดังนั้นจึงขอให้พี่น้องประชาชนรับข้อมูลจากช่องทางทางการและสื่อหลักที่น่าเชื่อถือเท่านั้น” เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ตกเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
คำแนะนำสำหรับประชาชนในการรับมือกับข่าวปลอม:
กระทรวงดีอีขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนให้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร โดยก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใด ๆ ที่ได้รับ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวหรือมีความสำคัญ ควรดำเนินการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นหน่วยงานทางการหรือสื่อมวลชนที่ได้รับการยอมรับหรือไม่ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลที่น่าสงสัยกับช่องทางหลักของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรือติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงผ่านทางโทรศัพท์สายด่วน 1111 ซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ช่องทางการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส ข่าวปลอม:
หากประชาชนพบเห็นโพสต์หรือข้อความที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นข่าวปลอม สามารถมีส่วนร่วมในการหยุดยั้งการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จได้ โดยการส่งลิงก์หรือภาพหลักฐานของโพสต์หรือข้อความดังกล่าวมาให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยช่วยตรวจสอบ การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยให้ท่านไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม แต่ยังเป็นการช่วยสังคมให้ปลอดภัยจากข้อมูลบิดเบือนอีกด้วย ช่องทางในการแจ้งเบาะแสข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ มีดังนี้:
- โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง
- Line ID: @antifakenewscenter
- เว็บไซต์: www.antifakenewscenter.com
- ช่องทางอื่น ๆ ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ อาจประกาศเพิ่มเติม
ผลกระทบของข่าวปลอมต่อสังคมและความมั่นคง:
การแพร่กระจายของข่าวปลอม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น กรณีไทย-กัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสับสนและความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
- ด้านเศรษฐกิจ: ข่าวปลอมเรื่องการปิดด่านชายแดน อาจสร้างความเสียหายต่อการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ด้านสังคม: การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนและยั่วยุ อาจนำไปสู่ความไม่พอใจ ความหวาดระแวง และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคม หรือแม้กระทั่งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
- ด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ข่าวปลอมสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ สร้างความเข้าใจผิด และอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตได้
ความท้าทายจากเทคโนโลยี AI ในการสร้างข่าวปลอม:
การที่นายประเสริฐกล่าวถึงการทำภาพ AI เพื่อยั่วยุให้เกิดความรุนแรง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ในการรับมือกับข่าวปลอม เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันมีความสามารถในการสร้างภาพหรือวิดีโอที่มีความสมจริงสูง (Deepfake) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบด้วยตาเปล่า และเพิ่มโอกาสในการนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อสร้างความแตกแยกหรือความเข้าใจผิด การตระหนักถึงภัยคุกคามจากเทคโนโลยีเหล่านี้ และการพัฒนาเครื่องมือหรือแนวทางในการตรวจสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
บทบาทของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย:
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานกลางที่รับแจ้ง ตรวจสอบ และชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวปลอมที่แพร่กระจายในสังคม การทำงานของศูนย์ฯ ช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว ลดผลกระทบจากข่าวปลอม และสร้างภูมิคุ้มกันทางข้อมูลให้กับสังคมไทย การที่ประชาชนให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสและตรวจสอบข้อมูลกับศูนย์ฯ จึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การต่อสู้กับข่าวปลอมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังและบทลงโทษทางกฎหมาย:
กระทรวงดีอีได้ย้ำเตือนว่า การผลิต เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลเท็จ บิดเบือน หรือข่าวปลอม เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น การตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจก่อนเผยแพร่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ทั้งนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของข่าวปลอม โดยเฉพาะในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นภัยคุกคามที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันรับมือ การที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมออกมาให้ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม ประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญในการไม่ตกเป็นเหยื่อและไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสร้างนิสัย “เช็กก่อนแชร์” การเลือกรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และการใช้ช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ให้เป็นประโยชน์ จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้สังคมไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตข่าวปลอมไปได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและมีสติ
#ข่าวปลอม #FakeNews #กระทรวงดีอี #ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม #ไทยกัมพูชา #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ตรวจสอบก่อนแชร์ #พรกคอมพิวเตอร์ #ข่าวเศรษฐกิจ #ความมั่นคง #ดิจิทัล