คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางยกระดับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล มอบหมาย “กระทรวงดีอีเอส” โดย ETDA และ “คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า” (กขค.) เดินหน้าศึกษาเชิงลึก ปูทางสู่การออกกฎหมายฉบับใหม่ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม มุ่งคุ้มครองผู้บริโภค สร้างความเป็นธรรม (Level Playing Field) ให้ SMEs ไทย พร้อมชี้อาจใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้ากับต่างประเทศ สร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาว
เจาะลึกมติ ครม. สั่งเดินหน้าศึกษา “กฎหมายคุมแพลตฟอร์มดิจิทัล” ฉบับใหม่ โจทย์ใหญ่เศรษฐกิจไทย
กรุงเทพฯ – นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการเศรษฐกิจดิจิทัลไทย เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติรับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ พร้อมทั้งมอบหมายให้ 2 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) รับไม้ต่อเพื่อศึกษาแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยอย่างละเอียด ก่อนนำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาในลำดับถัดไป
การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับกลไกการกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ให้มีความทันสมัย ได้สัดส่วน และสามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
เหตุผลและความจำเป็น: ทำไมกฎหมายปัจจุบันยังไม่เพียงพอ?
หัวใจสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการทบทวนและเตรียมยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ มาจากการพิจารณาของคณะอนุกรรมการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ซึ่งมีผู้แทนจากทั้ง ETDA และ กขค. เข้าร่วม โดยได้ข้อสรุปร่วมกันว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมี พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 บังคับใช้อยู่ แต่กลไกดังกล่าวยังมีข้อจำกัด
โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า พระราชกฤษฎีกาฉบับปัจจุบัน ซึ่งเน้นให้ผู้ประกอบการ “แจ้งให้ทราบ” ก่อนประกอบธุรกิจนั้น อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างประสิทธิภาพในการกำกับดูแล การบังคับใช้กฎหมาย และการกำหนดบทลงโทษให้ครอบคลุมได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในมิติของการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บริการซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญสูงสุดในยุคดิจิทัล
ในขณะที่ร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลฉบับใหม่ที่กำลังจะถูกปัดฝุ่นขึ้นมาศึกษานี้ ถูกคาดหวังว่าจะมีกลไกที่เข้มข้นและชัดเจนกว่า สามารถสร้างความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนในระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้อย่างมีนัยสำคัญ
3 ประโยชน์หลักที่คาดหวังจากกฎหมายใหม่
คณะอนุกรรมการฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการมีกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้มาตรฐานสากลและเหมาะสมกับบริบทของไทย 3 ประการหลัก ได้แก่:
-
การคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บริการ: นี่คือเป้าหมายหลักในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับผู้ใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น อีคอมเมิร์ซ, บริการส่งอาหาร (Food Delivery), บริการเรียกรถ (Ride-hailing) หรือโซเชียลมีเดีย
-
สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม (Level Playing Field): กฎหมายใหม่จะช่วยสร้างสมดุลและภาวะการแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้นระหว่างผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกที่หลากหลายและได้รับบริการที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยสามารถแข่งขันและเติบโตบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากแพลตฟอร์มที่มีอำนาจเหนือตลาด
-
เครื่องมือต่อรองทางการค้าระหว่างประเทศ: หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การมีกฎหมายภายในประเทศที่เข้มแข็งและเป็นไปตามหลักสากล อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งนับเป็นมิติเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ
ก้าวต่อไป: ภารกิจของ ETDA และ กขค.
ภายใต้มติ ครม. ล่าสุดนี้ ETDAและ กขค. จะต้องรับหน้าที่เป็นแม่งานในการศึกษาเชิงลึก โดยที่ประชุมร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (สคก., ETDA, สำนักงาน ป.ย.ป. และ กขค.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ได้วางกรอบการทำงานที่สำคัญไว้แล้ว คือ:
- ศึกษาตลาดและเตรียมความพร้อม: ต้องมีการศึกษาโครงสร้างตลาดแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทยอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจพลวัตการแข่งขันและพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด ก่อนที่จะออกแบบมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องเตรียมความพร้อมของบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ความสามารถทันต่อเทคโนโลยี
- สร้างกลไกการทำงานร่วมกัน: เพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ จะต้องมีกลไกการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน เนื่องจากประเด็นแพลตฟอร์มดิจิทัลมีความคาบเกี่ยวกันในหลายมิติ ทั้งด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (หน้าที่ของETDA) และด้านการแข่งขันทางการค้า (หน้าที่ของ กขค.)
- แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจน: การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจน จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีเอกภาพ
การศึกษานี้จะต้องครอบคลุมถึงแนวทางปฏิบัติสากลที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เช่น Digital Markets Act (DMA) และ Digital Services Act (DSA) ของสหภาพยุโรป และนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยมากที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว ผลจากการศึกษาของทั้งสองหน่วยงาน จะเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางและหลักการของกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลฉบับประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
#เศรษฐกิจดิจิทัล #แพลตฟอร์มดิจิทัล #กฎหมายดิจิทัล #ครม #ETDA #กขค #คุ้มครองผู้บริโภค #SMEs #LevelPlayingField #ข่าวเศรษฐกิจ