อันวาร์ อิบราฮิม ชูธงอาเซียน กำหนดอนาคตพลังงานเอเชียที่เป็นธรรม

อันวาร์ อิบราฮิม ชูธงอาเซียน กำหนดอนาคตพลังงานเอเชียที่เป็นธรรม

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย “อันวาร์ อิบราฮิม” ประกาศวิสัยทัศน์บนเวที Energy Asia 2025 ชู “อาเซียน” เป็นแกนกลางนำการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สมจริงและเป็นธรรมสำหรับเอเชีย ท่ามกลางความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ เสนอ 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่ สถาปัตยกรรมทางการเงินที่แข็งแกร่ง, การยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ และการผลักดันเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ให้เป็นทั้งเครื่องมือลดการปล่อยมลพิษและแหล่งรายได้ใหม่ของภูมิภาค โดยมี PETRONAS เป็นหัวหอกสำคัญ

กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – ท่ามกลางความท้าทายของโลกที่กำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ กระแสชาตินิยม และการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เอเชียกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางพลังงานของโลก ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในพิธีเปิดการประชุม Energy Asia 2025 โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างเส้นทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ “เป็นธรรม สมดุล และสมจริง” สำหรับภูมิภาคเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมีการบริโภคพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของทั้งโลก และมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 60%

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากนโยบายกีดกันทางการค้าและความขัดแย้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงาน เขากล่าววิจารณ์แนวคิดที่ว่าโลกาภิวัตน์เป็นเพียงประสบการณ์ของโลกตะวันตก โดยยืนยันว่า “เรามีประเทศต่างๆ ตั้งแต่มักกะฮ์ถึงมะดีนะฮ์ จากมะละกาถึงจีน ที่ได้มีส่วนร่วมและมีประสบการณ์กับโลกาภิวัตน์ในความหมายที่แท้จริง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางการค้าและวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานในเอเชีย

ท่ามกลางกระแสการแบ่งขั้วที่รุนแรงขึ้น นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ย้ำถึงจุดยืนของอาเซียนที่ยึดมั่นในแนวทางการทูตและการแข่งขันที่สร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน

“เรายึดมั่นในความเชื่อที่ว่าการทูตย่อมมีชัยเหนือระบอบอัตตาธิปไตย และการแข่งขันที่ดีสามารถอยู่ร่วมกับการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ วิสัยทัศน์ของเราสำหรับอาเซียนปี 2045 สะท้อนถึงความเชื่อนี้ ในขณะที่เรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความเป็นแกนกลางและความสามัคคีภายในภูมิภาคและกับประเทศที่เป็นมิตร”

อาเซียนในฐานะแกนกลางขับเคลื่อนสู่อนาคตพลังงาน

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของอาเซียนในฐานะแกนกลาง (ASEAN Centrality) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการขับเคลื่อนความร่วมมือและความก้าวหน้าอย่างครอบคลุม เขาได้อ้างอิงถึงความสำเร็จของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศได้ยืนยันคำมั่นสัญญาผ่าน “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียนปี 2045” นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC)-จีน เป็นครั้งแรก ยังถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมการบูรณาการในระดับภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

แม้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความมุ่งมั่นต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดย 8 ใน 10 ประเทศได้ตั้งเป้าหมาย Net Zero และให้คำมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเป็นสามเท่า หรือ 11,000 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 ตามข้อตกลง COP28 แต่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยอมรับว่า “เราต้องเผชิญกับความท้าทายที่เป็นหัวใจสำคัญ นั่นคือ เราจะส่งมอบการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมและเท่าเทียมสำหรับเอเชียได้อย่างไร”

3 เสาหลักสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สมจริงและเป็นธรรม

เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้นำเสนอแนวทางที่ “ปฏิบัติได้จริงและสมจริง” (pragmatic and realistic) โดยมี 3 เสาหลักสำคัญดังนี้

1. สถาปัตยกรรมทางการเงินที่ชัดเจนและจูงใจ (A Clear and Coherent Financial Architecture)

ประเด็นสำคัญอันดับแรกคือการสร้างกรอบทางการเงินที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและระดมทุนมหาศาลเข้าสู่โครงการพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค นายกรัฐมนตรีชี้ให้เห็นถึงความจริงที่น่ากังวลว่า ในปี 2023 เอเชียสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในพลังงานสะอาดได้เพียง 2% ของการลงทุนทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่สวนทางกับศักยภาพอันมหาศาลของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลมในเวียดนาม พลังงานน้ำในลาว พลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย หรือพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย

“เราต้องกำหนดและสื่อสารสถาปัตยกรรมทางการเงินที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างนโยบายของมาเลเซียที่กำลังดำเนินการเพื่อลดช่องว่างนี้ เช่น โครงการ Corporate Renewable Energy Supply Scheme (CRESS) ที่อนุญาตให้บริษัทเอกชนสามารถจัดหาพลังงานสะอาดผ่านโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติ และกลไกการเข้าถึงของบุคคลที่สาม (Third-Party Access) รวมถึงมาตรการจูงใจด้านการลงทุนสีเขียวอย่าง Green Technology Financing Scheme

Energy Asia 2025

2. การยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงในภูมิภาค (Upgrading Electricity Grids and Interconnectivity)

เสาหลักที่สองคือการลงทุนเพื่อยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัยและยืดหยุ่น ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งล่าสุด ได้มีการเร่งรัดโครงการ ASEAN Power Grid (APG) ผ่านบันทึกความเข้าใจฉบับปรับปรุงและการจัดตั้งกองทุนเพื่อการเงินสำหรับ APG โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กระแสเงินทุนข้ามพรมแดนและนำไปสู่ตลาดพลังงานระดับภูมิภาคที่บูรณาการอย่างแท้จริง

สำหรับมาเลเซีย รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณสูงถึง 4.3 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติ โดยจะมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems) เข้ามาใช้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความทนทานสำหรับอนาคต

3. การเพิ่มประสิทธิภาพและลดการปล่อยคาร์บอนด้วย CCS (Improving Efficiency and Reducing Emissions)

เสาหลักสุดท้ายคือการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบพลังงานที่มีอยู่เดิม นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยอมรับความจริงที่ว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักเกือบ 80% ของโลก ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านจึงต้องเป็นไปอย่างสมดุล

“การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม ความพยายามในการลดคาร์บอนที่เพิกเฉยต่อความต้องการของคนจนและกลุ่มเปราะบาง มีความเสี่ยงที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น ดังนั้น การทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพง ไม่ใช่แค่ภารกิจทางศีลธรรม แต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม”

แนวทางที่สมดุลนี้คือการยอมรับว่าพลังงานหมุนเวียนจะต้องได้รับการเสริมด้วยเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคน้ำมันและก๊าซ ซึ่งเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage – CCS) คือคำตอบสำคัญ

มาเลเซียได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ผ่านร่างกฎหมายการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ปี 2025 (Carbon Capture and Storage Bill 2025) เพื่อสร้างรากฐานด้านกฎระเบียบสำหรับอุตสาหกรรมใหม่นี้ โดยมี PETRONAS บริษัทพลังงานแห่งชาติซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศ เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการ CCS ถึง 3 แห่งในพื้นที่นอกชายฝั่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้บริการแก่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงด้วย

ความพยายามด้าน CCS ของมาเลเซียยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความร่วมมืออย่างแท้จริง โดยมีพันธมิตรระหว่างประเทศกว่า 10 รายเข้าร่วม ทั้งจากเกาหลีใต้ ฝรั่งเศส อิตาลี และบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง TotalEnergies และ Shell นอกจากนี้ PETRONAS ยังร่วมมือกับ INEOS, Mitsubishi และ JAPEX เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขนส่งและกักเก็บ CO2 จากกรุงโตเกียวมายังมาเลเซีย

นายกรัฐมนตรีอันวาร์สรุปว่า “สิ่งนี้ทำให้ CCS ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำคัญในการลดคาร์บอน แต่ยังเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่มีแนวโน้มสดใสสำหรับภูมิภาค”

บทสรุปของสุนทรพจน์ครั้งนี้คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า มาเลเซียและอาเซียนพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการกำหนดอนาคตพลังงานของเอเชีย ด้วยแนวทางที่กล้าหาญ สมจริง และคำนึงถึงผู้คนทุกระดับ เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมในสังคม

#EnergyAsia #EnergyAsia2025 #PETRONAS #CERAWeek #EnergyTransition #อันวาร์อิบราฮิม #เปลี่ยนผ่านพลังงาน #เศรษฐกิจอาเซียน #CCS

Related Posts