กรุงศรี JPC ชูธงรบปี 68 ปั้น S-Curve ใหม่ ปักหมุด ESG โต 9%

กรุงศรี JPC ชูธงรบปี 68 ปั้น S-Curve ใหม่ ปักหมุด ESG โต 9%

กรุงศรี JPC เปิดแผนกลยุทธ์ปี 2568 ประกาศจุดยืนชัดเจนในการเป็น “เครื่องยนต์” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและธุรกิจญี่ปุ่น กาง 3 ยุทธศาสตร์หลักมุ่งสร้าง New S-Curve ผ่านอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมปักหมุด ESG เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อโตท้าทายที่ 9% ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่ครองใจลูกค้าองค์กรญี่ปุ่นในไทยมายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกและไทยที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ได้แสดงวิสัยทัศน์และประกาศทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนสำหรับปี 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยและตอกย้ำบทบาทการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น

นายบุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า ภารกิจหลักของกรุงศรี JPC ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การให้บริการทางการเงิน แต่คือการก้าวขึ้นเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจหลักรายแรก (First Core Business Partner)” ที่องค์กรญี่ปุ่นและบริษัทข้ามชาติให้ความไว้วางใจสูงสุด โดยความมุ่งมั่นนี้ขยายขอบเขตไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของญี่ปุ่น การเติบโตของเศรษฐกิจไทย รวมไปถึงธุรกิจไทย ให้สามารถสานต่อและสร้างการเติบโตผ่านนวัตกรรม โดยกรุงศรี JPC พร้อมที่จะเดินเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอันดับแรกที่ลูกค้าไว้วางใจ และจะเป็นแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน” นายโอคุโบะกล่าว

รากฐานความสำเร็จของกรุงศรี JPC หยั่งลึกยาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งธนาคารแห่งโตเกียวสาขาแรกในปี พ.ศ. 2505 จวบจนปัจจุบัน กรุงศรีสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการครองใจลูกค้าองค์กรญี่ปุ่นกว่า 70% ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และมีส่วนแบ่งตลาดเงินฝากและสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวสูงถึง 40-50% ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อธนาคาร จุดแข็งที่หาใครเทียบได้คือการผนึกกำลังอย่างไร้รอยต่อระหว่างเครือข่ายและความเชี่ยวชาญระดับโลกของ MUFG กับความเข้าใจตลาดท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งของกรุงศรี ทำให้สามารถส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรและตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

กางแผน 3 ยุทธศาสตร์หลัก ปั้นอนาคตเศรษฐกิจไทย

สำหรับปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง กรุงศรี JPC ได้วางกลยุทธ์การดำเนินงานโดยมุ่งเน้นใน 3 เสาหลักที่จะเป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทั้งของลูกค้าและของประเทศ

เสาหลักที่หนึ่ง: การร่วมสร้างอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ (Co-create New Core Industry) กรุงศรีจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อดึงดูดและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งเป็นอนาคตของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็น ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center), เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), เทคโนโลยีชีวภาพและสิ่งแวดล้อม (Bio-Green), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และห่วงโซ่, รวมถึงเทคโนโลยีด้านอาหารและการเกษตร (Food and Agri-tech) โดยธนาคารได้เริ่มดำเนินการไปแล้วผ่านการจัดสัมมนาเฉพาะทาง เช่น งานสัมมนาด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปีที่ผ่านมา และงานสัมมนาด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

สตาร์ทอัพ

เสาหลักที่สอง: การเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจลูกค้าด้วยนวัตกรรมและ ESG ธนาคารจะยกระดับการให้บริการไปอีกขั้นผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินและนวัตกรรมดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งผลักดันและให้ความสำคัญกับหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างจริงจัง โดยมองว่า ESG ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

เสาหลักที่สาม: การเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ที่วางใจได้ กรุงศรี JPC จะมุ่งเน้นการให้บริการที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถนำทางในโลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (Emerging Industries) ให้สามารถตั้งหลักและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจดั้งเดิมของลูกค้า

จากกลยุทธ์สู่การปฏิบัติจริงที่จับต้องได้

เพื่อทำให้กลยุทธ์ดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรม กรุงศรีได้ริเริ่มและดำเนินโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง หนึ่งในนั้นคืองาน Japan-ASEAN Startup Business Matching Fair ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และในปีนี้ได้ขยายความร่วมมือครอบคลุม 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไทย เวียดนาม และนับเป็นครั้งแรกของฟิลิปปินส์ พร้อมทั้งมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ Industrial Technology Investment Corporation (ITIC) จากไต้หวัน เพื่อเปิดประตูให้สตาร์ทอัพจากไต้หวันเข้ามาเชื่อมต่อกับเครือข่ายในภูมิภาค งานดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นเวทีให้สตาร์ทอัพกว่า 54 รายได้พบปะกับนักลงทุนกว่า 200 ราย แต่ยังเน้นการสร้างระบบนิเวศสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตเช่น AI และ Gamification อีกด้วย

นอกจากนี้ ธนาคารยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan – BCP) โดยนำบทเรียนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่นมาต่อยอด ด้วยการร่วมมือกับสถานทูตญี่ปุ่น, JETRO และ JICA จัดกิจกรรมแบ่งปันองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการป้องกันภัยพิบัติให้แก่ภาคธุรกิจไทย เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและภูมิคุ้มกันในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ในมิติของความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค “กรุงศรี อาเซียน ลิงค์ (Krungsri ASEAN Link)” ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจไทยและญี่ปุ่นสามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มประเทศอาเซียนได้อย่างราบรื่น ผ่านเครือข่ายธนาคารพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้พิสูจน์ความสำเร็จผ่านกรณีศึกษาต่างๆ มาแล้วมากมาย

ESG หัวใจแห่งการเติบโตที่ยั่งยืน

นายโอคุโบะย้ำว่า “ESG คือภารกิจสำคัญหลักของกรุงศรีในการขับเคลื่อนโครงการที่สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม” กรุงศรีเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของไทยที่ริเริ่ม “โครงการเงินฝากเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Deposit Program)” ซึ่งนำเงินฝากจากองค์กรต่างๆ ไปสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากบริษัทชั้นนำอย่าง Toyota Leasing, AGC และ Sony

ยิ่งไปกว่านั้น กรุงศรียังได้เปิดตัว “โครงการสินเชื่อเพื่อสังคม (Social Loan Program)” ร่วมกับโตโยต้า ลีสซิ่ง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อย ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน การสร้าง “ระบบนิเวศ ESG (ESG Ecosystem)” ผ่านการจับมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญอย่าง ZeroBoard จากญี่ปุ่น, กฟผ. (EGAT) และ Innopower ยังเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

ท้าทายเป้าหมายสินเชื่อโต 9% ท่ามกลางความไม่แน่นอน

สำหรับภาพรวมทางธุรกิจ นายโอคุโบะได้เปิดเผยเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ JPC ในปี 2568 ไว้ที่ 9% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เขายอมรับว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากปัจจัยลบสำคัญคือการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ของค่ายญี่ปุ่น ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

“ปีที่แล้วเป็นผลลัพธ์ที่น่าเสียดาย แต่ด้วยเหตุนี้ เราจึงพยายามอย่างหนักในปีนี้ที่จะทำให้ธุรกิจสินเชื่อเติบโตขึ้น” นายโอคุโบะกล่าวอย่างมุ่งมั่น “เราจะบรรลุเป้าหมาย 9% ได้ผ่านการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และที่สำคัญคือการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเงินในกระแสการลงทุนใหม่ๆ อย่างดาต้าเซ็นเตอร์หรือเซมิคอนดักเตอร์ที่เราได้นำเสนอไป”

เมื่อถูกถามถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย นายโอคุโบะได้ให้คำตอบอย่างระมัดระวังว่า “นี่เป็นคำถามที่ตอบยากที่สุด ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความเห็นทางการเมืองได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดคือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเอาชนะสถานการณ์นี้ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน”

บทสรุปจากวิสัยทัศน์ของกรุงศรี JPC ในครั้งนี้ คือภาพของสถาบันการเงินที่ไม่เพียงแต่มุ่งสร้างผลกำไร แต่ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การประกาศกลยุทธ์ที่ชัดเจน การลงมือปฏิบัติจริง และการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ท่ามกลางคลื่นลมทางเศรษฐกิจ เป็นการส่งสัญญาณที่ทรงพลังว่ากรุงศรีพร้อมแล้วที่จะเป็นเสาหลักในการนำพาธุรกิจญี่ปุ่นและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

#กรุงศรีJPC #Krungsri #เศรษฐกิจไทย #กลยุทธ์2568 #ธุรกิจญี่ปุ่น #ESG #SustainableFinance #สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน #NewSCurve #DataCenter #Semiconductor #บุนเซอิโอคุโบะ #ข่าวเศรษฐกิจ

Related Posts