กสทช. สั่งเชือด ซิม-สาย-เสา สกัดแก๊งคอลฯ ตัดสัญญาณชายแดน กัมพูชา

กสทช. สั่งเชือด ซิม-สาย-เสา สกัดแก๊งคอลฯ ตัดสัญญาณชายแดน กัมพูชา

กสทช. ขานรับนโยบายรัฐบาล สั่งคุมเข้ม “ซิม-สาย-เสา” แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ สั่งผู้ประกอบการ 14 รายระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดนไทย – กัมพูชา ทั้งหมดแล้ว พร้อมเตรียมลงพื้นที่ 6 จังหวัดชายแดน ตรวจสอบสัญญาณล้ำแดน หวังตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเชื่อมั่นให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ออกมาตรการชุดใหญ่เพื่อจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมบริเวณชายแดน ไทย – กัมพูชา อย่างเด็ดขาด นับเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นวงกว้าง การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานด้านความมั่นคง สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้บริหารของสำนักงาน กสทช. ได้ข้อสรุปในการออกมาตรการที่ครอบคลุม 3 ด้านหลัก หรือ “ซิม-สาย-เสา” ซึ่งเป็นการจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การควบคุมซิมการ์ดซึ่งเป็นเครื่องมือหลักของมิจฉาชีพ การจัดการสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงการก่ออาชญากรรม และการควบคุมเสาสัญญาณเพื่อป้องกันการรั่วไหลของสัญญาณข้ามพรมแดน

เจาะลึกมาตรการ “ซิม-สาย-เสา” ตัดวงจรอาชญากรรมข้ามแดน

มาตรการที่ กสทช. ประกาศออกมานั้น มีความละเอียดและตั้งเป้าที่จะอุดช่องโหว่ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชนคนไทยมาโดยตลอด โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

1. มาตรการ “ซิม” : สกัดเครื่องมือหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ปัญหาซิมการ์ดที่ลงทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง หรือ “ซิมม้า” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการหลอกลวง กสทช. ได้ออกมาตรการเพื่อจัดการปัญหานี้โดยตรง 2 แนวทางคือ:

  • การห้ามขนส่งซิมไทยออกนอกประเทศ: สำนักงาน กสทช. จะดำเนินการประสานงานกับกรมศุลกากรอย่างเร่งด่วน เพื่อออกมาตรการห้ามการขนส่งซิมการ์ดของไทยออกไปยังนอกราชอาณาจักร มาตรการนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มักตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ใช้ซิมการ์ดของไทยในการโทรเข้ามาหลอกลวงเหยื่อ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นการติดต่อจากหน่วยงานหรือองค์กรภายในประเทศ การสกัดกั้นไม่ให้ซิมเหล่านี้ถูกนำออกไป จะทำให้ต้นทุนของกลุ่มมิจฉาชีพสูงขึ้นและปฏิบัติการได้ยากลำบากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • การตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียนซิมในพื้นที่ชายแดน: กสทช. จะขอข้อมูลจำนวนการเปิดใช้งานซิมการ์ดใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนทั้งหมดจากผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อนำมาวิเคราะห์หารูปแบบที่ผิดปกติ เช่น การเปิดใช้งานซิมจำนวนมากในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการรวบรวมซิมเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย การมีข้อมูลเชิงลึกนี้จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเฝ้าระวังและเข้าทลายเครือข่ายซิมม้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น เป็นการใช้ข้อมูลเพื่อชี้นำการปฏิบัติการ (Data-Driven Operation) ในการแก้ปัญหา

2. มาตรการ “สาย” : ตัดเส้นเลือดใหญ่การสื่อสารข้ามพรมแดน

อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) คือเส้นเลือดใหญ่ที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์สามารถปฏิบัติการได้อย่างราบรื่น การจัดการการเชื่อมต่อระหว่างประเทศจึงเป็นมาตรการที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง โดย กสทช. ได้สั่งการดังนี้:

  • ระงับการเชื่อมต่อโครงข่ายไปยังกัมพูชา: มาตรการที่เฉียบขาดที่สุดคือการระงับการให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศจากไทยไปยัง กัมพูชา ซึ่งนายไตรรัตน์ยืนยันว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการทั้ง 14 รายที่มีจุดเชื่อมต่อดังกล่าวได้ดำเนินการระงับการให้บริการไปแล้วทั้งหมด บริษัททั้ง 14 แห่ง ประกอบด้วยผู้ให้บริการรายใหญ่และรายย่อย ได้แก่
    1. บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
    2. บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด
    3. บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
    4. บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด
    5. บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด
    6. บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน)
    7. บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด
    8. บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด
    9. บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด
    10. บริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด
    11. บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน)
    12. บริษัท แอล ดับเบิ้ลยู ที เอ็น จำกัด
    13. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
    14. บริษัท เคิร์ซ จำกัด การดำเนินการนี้ถือเป็นการ “รีเซ็ต” การเชื่อมต่อทั้งหมด และสร้างเงื่อนไขใหม่ที่รัดกุมกว่าเดิม
  • เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบก่อนอนุญาตใหม่: หากผู้ประกอบการรายใดต้องการกลับมาให้บริการเชื่อมต่ออีกครั้ง จะต้องยื่นเรื่องต่อสำนักงาน กสทช. เพื่อพิจารณาเป็นรายกรณี โดยจะต้องรายงานข้อมูลของคู่สัญญาที่เป็นนิติบุคคลในต่างประเทศอย่างละเอียด ว่านำสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปใช้ในธุรกิจประเภทใด และมีปริมาณการใช้งานมากน้อยเพียงใด ซึ่งนี่คือการนำหลักการ “รู้จักลูกค้าของคุณ” (Know Your Customer – KYC) มาปรับใช้ในระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

3. มาตรการ “เสา” : ควบคุมรัศมีสัญญาณ ป้องกันการล้ำแดน

อีกหนึ่งช่องโหว่ที่สำคัญคือการที่สัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตของไทยมีความแรงจนล้ำเข้าไปในดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพที่ตั้งฐานอยู่บริเวณชายแดนสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายของไทยได้โดยตรง กสทช. จึงเตรียมการลงพื้นที่เพื่อจัดการปัญหานี้

  • ลงพื้นที่ตรวจสอบสัญญาณใน 6 จังหวัดชายแดน: สำนักงาน กสทช. มีแผนจะลงพื้นที่จริงในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา 6 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว, จันทบุรี, ตราด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เพื่อตรวจสอบคุณภาพและรัศมีการส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือวัดสัญญาณที่ทันสมัย
  • กำชับผู้ให้บริการคุมเข้มสัญญาณ: การลงพื้นที่จะควบคู่ไปกับการกำชับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายให้ดำเนินการปรับทิศทางและความแรงของเสาสัญญาณอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญาณจะครอบคลุมพื้นที่ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับประชาชนคนไทย แต่ต้องไม่เกิดการล้ำข้ามแดน (Signal Spillover) ไปยังฝั่งกัมพูชา การดำเนินการนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในการปรับจูนเสาสัญญาณแต่ละต้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการให้บริการประชาชนในพื้นที่และการป้องกันปัญหาอาชญากรรม

มุมมองผู้บริหารและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ กสทช. ในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังว่า “จากนี้หากผู้ประกอบการโทรคมนาคมจะมีการเชื่อมต่อสัญญาณไปยังกัมพูชาจะต้องมีการให้รายละเอียดธุรกิจและบริการ เพื่อให้สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบเข้มข้นขึ้น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถือเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และยังสร้างความเสียหายในด้านเศรษฐกิจและสังคม เราพร้อมให้ความร่วมมือรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญกรรมทางเทคโนโลยีให้เห็นผลเร็วที่สุด”

คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนของหน่วยงานกำกับดูแล ที่จะไม่ประนีประนอมกับกิจกรรมที่อาจเชื่อมโยงกับการกระทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ นายไตรรัตน์ยังกล่าวถึงความพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและกองกำลังทหารในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนภารกิจในการปกป้องประเทศชาติอีกด้วย

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและความท้าทายในอนาคต

มาตรการชุดนี้ถือเป็นยาแรงที่คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์อย่างรุนแรง การตัดวงจรการสื่อสารทั้งระบบจะทำให้การก่ออาชญากรรมจากนอกประเทศทำได้ยากขึ้นหลายเท่าตัว ในระยะยาว การสร้างสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่ปลอดภัยบริเวณชายแดน จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการหลอกลวงซึ่งมีมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ การดำเนินการที่เข้มข้นอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ถูกกฎหมายซึ่งจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อสื่อสารข้ามแดน การพิจารณาอนุญาตเป็นรายกรณีของ กสทช. จึงต้องมีความรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนที่โปร่งใส

การต่อสู้กับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นการวิ่งไล่จับที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่มาตรการ “ซิม-สาย-เสา” ของ กสทช. ในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับการป้องกันเชิงรุกที่น่าจับตามอง และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะไม่ยอมเป็นฐานหรือเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พลเมืองของตนเองอีกต่อไป

#กสทช #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ #เศรษฐกิจดิจิทัล #ชายแดนไทยกัมพูชา #ซิมสายเสา #ความมั่นคง #ไตรรัตน์วิริยะศิริกุล #AIS #TRUE

Related Posts