ค่าเงิน บาท เปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทะยานขึ้นตามทิศทางสกุลเงินในภูมิภาค หลังดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าและบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้นต่อโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ปัจจัยบวกจากข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนที่บรรลุผล ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
เจาะลึก 3 ปัจจัยหลัก ขับเคลื่อนค่าเงิน บาท สู่ทิศทางแข็งค่า
ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2568 ทิศทางของค่าเงิน บาท ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ประกอบการอย่างยิ่ง หลังจากการปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์จากกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBFM) ได้ฉายภาพให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยมหภาคจากต่างประเทศที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมายังตลาดการเงินของไทย
1. สัญญาณจาก “เฟด” และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
ปัจจัยแรกและสำคัญที่สุดที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า คือมุมมองของตลาดที่มีต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด นักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวนมากเริ่มให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ความเชื่อมั่นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่มีรากฐานมาจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค (Consumer Spending) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด การชะลอตัวนี้มีสาเหตุหลักมาจากการใช้จ่ายในภาคบริการหลากหลายประเภทที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลง ย่อมเป็นการส่งสัญญาณไปยังเฟดว่าเศรษฐกิจอาจไม่ร้อนแรงเท่าเดิม และอาจไม่จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้ออีกต่อไป
การคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟดนี้เองที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อนักลงทุนคาดว่าผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์จะลดลงในอนาคต จึงมีการเทขายเงินดอลลาร์และหันไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่นที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่า ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งใช้วัดมูลค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักของโลก ปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ ประกอบกับการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ยิ่งเป็นแรงกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และในทางกลับกัน ก็เป็นแรงหนุนโดยตรงให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น
2. ความคืบหน้าเชิงบวกของข้อตกลงการค้า “สหรัฐฯ-จีน”
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-on Sentiment) และส่งผลดีต่อค่าเงินของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงไทย คือความคืบหน้าในด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ตามรายงานล่าสุด สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อสรุปในข้อตกลงทางการค้าฉบับสมบูรณ์ได้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากข้อตกลงเบื้องต้นที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของข้อตกลงดังกล่าว แต่การที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ ถือเป็นการลดทอนความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่เคยเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจโลกมาอย่างยาวนาน
การบรรลุข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและการส่งออกของทั้งสองประเทศ แต่ยังส่งผลทางจิตวิทยาเชิงบวกมายังตลาดการเงินทั่วโลก ลดความกังวลของนักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่างเงินดอลลาร์ มายังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ตลาดหุ้นและตลาดสกุลเงินในเอเชีย
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ามีความตั้งใจที่จะเร่งรัดการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับกลุ่มประเทศคู่ค้ารายใหญ่อีก 10 ประเทศในเร็วๆ นี้ แม้จะยังไม่ระบุรายชื่อประเทศทั้งหมด แต่ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการสร้างเสถียรภาพและเปิดเสรีทางการค้าให้มากขึ้น ซึ่งหากทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยค้ำจุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเป็นผลดีต่อประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างประเทศไทยในระยะยาว
3. เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยและมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ
แม้ปัจจัยภายนอกจะเป็นตัวแปรหลัก แต่เสถียรภาพภายในของเศรษฐกิจไทยก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินบาทได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกอย่างเต็มที่ การที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เริ่มมีแนวโน้มกลับมาเกินดุล และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ
เมื่อประกอบกับแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้น กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) จึงมีทิศทางไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นนั่นเอง
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
โดยสรุป การแข็งค่าของเงิน บาท ในรอบนี้เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งจากการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดที่ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และบรรยากาศการลงทุนที่สดใสขึ้นจากข่าวดีเรื่องข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำเข้าและส่งออก ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากค่าเงินยังคงมีความผันผวนสูง การแข็งค่าที่รวดเร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้ ในขณะที่ผู้นำเข้าจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลง
สำหรับแนวโน้มในระยะถัดไป ทิศทางของค่าเงินบาทจะยังคงขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายการเงินของเฟด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาในอนาคต รวมถึงรายละเอียดและความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่สหรัฐฯ กำลังจะดำเนินการ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างไม่กระพริบตา เพื่อปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างทันท่วงที
#ค่าเงินบาท #อัตราแลกเปลี่ยน #เศรษฐกิจไทย #SCBFM #เฟด #ดอกเบี้ยเฟด #เศรษฐกิจสหรัฐ #การค้าสหรัฐจีน #เงินดอลลาร์ #บาทแข็งค่า