รัฐบาล อัดฉีด 1.57 แสนล้าน ปลุกเศรษฐกิจฐานราก เสริมแกร่งไทย

รัฐบาล อัดฉีด 1.57 แสนล้าน ปลุกเศรษฐกิจฐานราก เสริมแกร่งไทย

รัฐบาล แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ วงเงิน 157,000 ล้านบาท ผ่านงบกลางปี 2568 มุ่งเป้าพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากผลกระทบการค้าโลก พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขันระยะยาว ชูธงลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคมเป็นหัวใจหลัก กระจายเม็ดเงินสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง หวังสร้างงาน 7 ล้านตำแหน่ง ดันจีดีพีโตเพิ่ม 0.4%

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยชี้แจงถึงความจำเป็นและแนวทางการใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงินรวม 157,000 ล้านบาท ซึ่งผ่านการกลั่นกรองอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

ความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัยกล่าวเปิดประเด็นถึงเหตุผลและความจำเป็นในการออกมาตรการครั้งนี้ว่า “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันเกิดเหตุการณ์หลายอย่างนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามการค้า และการประกาศนโยบายของสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเรื่องของการส่งออกแน่นอน ดังนั้นรายได้ของประชาชนจะต้องลดลงค่อนข้างแน่นอน”

จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาล จึงต้องทบทวนการใช้งบประมาณปี 2568 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเป้าหมายคู่ขนาน คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

กระบวนการกลั่นกรอง 5 ชั้น สู่โครงการคุณภาพ

เพื่อให้มั่นใจว่าเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์จะถูกใช้อย่างคุ้มค่าและโปร่งใส นายพิชัยได้เปิดเผยถึงกระบวนการกลั่นกรองโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณอย่างละเอียด ซึ่งเปรียบเสมือนตะแกรงถึง 5 ชั้น

“เรามีการกรองถึง 5 ชั้น เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณนี้ได้ใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆ” นายพิชัยกล่าว “จากคำขอทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาถึง 3.42 แสนล้านบาท เราได้ใช้หลักเกณฑ์ 8 ข้อที่คณะรัฐมนตรีให้ไว้เป็นแนวทาง”

หลักเกณฑ์สำคัญประกอบด้วย:

  1. การกระจายอย่างทั่วถึง: โครงการต้องส่งผลประโยชน์ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
  2. การสร้างงาน: ต้องก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะยาว: ต้องเป็นโครงการที่ส่งเสริมศักยภาพของประเทศ
  4. ความสอดคล้องกับระเบียบงบประมาณ: ต้องสามารถผูกพันงบประมาณได้ภายใน 30 กันยายน 2568 และเบิกจ่ายแล้วเสร็จภายใน 12 เดือน (30 กันยายน 2569)
  5. รายการที่ไม่เข้าข่าย (Negative List): มีการกำหนดรายการที่ไม่สนับสนุนกว่า 19 ข้อ เช่น การจัดซื้อครุภัณฑ์เพียงอย่างเดียว หรือการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษสำหรับโครงการมูลค่าต่ำกว่า 500,000 บาท เพื่อเน้นการจ้างงานและความโปร่งใส

จากกระบวนการดังกล่าว ทำให้ในเบื้องต้นมีโครงการที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติงบประมาณแล้วประมาณ 115,000 ล้านบาท

เจาะลึก 4 กลุ่มโครงการหลัก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

เม็ดเงินที่ได้รับการอนุมัติถูกจัดสรรไปยัง 4 กลุ่มโครงการหลัก ดังนี้

1. โครงสร้างพื้นฐาน (85,000 ล้านบาท): ถือเป็นงบประมาณส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 80 ของทั้งหมด โดยเน้นการลงทุนที่สร้างผลกระทบในวงกว้างและยั่งยืน * การจัดการน้ำ (39,000 ล้านบาท): แก้ปัญหาทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำอุปโภคบริโภค ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การซ่อมแซมและสร้างระบบประปา, การสร้างพื้นที่หน่วงน้ำ, การฟื้นฟูแหล่งน้ำตื้นเขิน และการสร้างสถานีสูบน้ำเพื่อการเกษตร * การคมนาคมขนส่ง: ไม่ใช่แค่การสร้างถนน แต่มุ่งเน้นผลประโยชน์รอบด้าน ทั้งการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน (ซ่อมบำรุง, ติดตั้งไฟส่องสว่าง, กล้อง CCTV), การพัฒนาถนนเชื่อมเมืองหลักสู่เมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว, การอำนวยความสะดวกในการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และการแก้ไขปัญหาจราจรคอขวดในพื้นที่สำคัญ

2. การท่องเที่ยว (10,000 ล้านบาท): มุ่งยกระดับและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัยและน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น * ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ป้ายบอกทาง, ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาด และไฟฟ้าส่องสว่างในจุดเสี่ยง * ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ภายใต้แนวคิด “เมืองไทยปลอดภัย งดงาม น่าเที่ยว”

3. การส่งออกและเพิ่มผลผลิต (11,000 ล้านบาท): แม้งบส่วนนี้จะดูไม่สูง แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นนอกงบประมาณ * จัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนประกันสังคม เพื่อปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการส่งออก * ปรับปรุงระบบดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการส่งออก ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง * นายพิชัยเสริมว่า “จริงๆ เราสามารถแก้ปัญหาการส่งออกอยู่นอกงบนี้ได้ อาทิเช่น ผ่านธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ ซึ่งเราก็เตรียมเงินไว้ประมาณ 1-2 แสนล้านบาทในกรณีที่มีความจำเป็น”

4. เศรษฐกิจชุมชนและทุนมนุษย์ (9,200 ล้านบาท): สร้างความเข้มแข็งจากฐานรากและพัฒนาศักยภาพคน * เติมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.): เพื่อช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการเข้าถึงแหล่งทุนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว * โครงการพัฒนาทักษะอาชีพ: จัดอบรมในเชิงวิชาชีพที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง * โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML): สนับสนุนโครงการที่เสนอโดยชุมชน เน้นการสร้างงานและสร้างธุรกิจในท้องถิ่น ไม่เน้นการจัดซื้อเพียงอย่างเดียว

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: กระจายรายได้ ลดเหลื่อมล้ำ ดันจีดีพี

รัฐบาลได้ประเมินผลกระทบของมาตรการครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลดีในหลายมิติ:

  • กระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค: คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 0.4
  • สร้างการจ้างงาน: ประมาณการว่าจะเกิดการจ้างงานทั่วประเทศประมาณ 7 ล้านคน จากโครงการต่างๆ
  • กระจายรายได้สู่ภูมิภาค: นายพิชัยได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่แสดงให้เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณครั้งนี้มุ่งเน้นไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวน้อยเป็นพิเศษ
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำสุด (99,000 บาท/คน/ปี) จะได้รับเม็ดเงินลงทุนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1.81% ของขนาดเศรษฐกิจในภูมิภาค
    • กรุงเทพฯ และปริมณฑล: แม้จะได้รับเม็ดเงินจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวที่สูง (480,000 บาท/คน/ปี) ผลกระทบจะอยู่ที่เพียง 0.34%

“สรุปได้ว่า ภาคที่มีรายได้น้อย ก็จะได้เงินเมื่อใส่เข้าไปแล้วเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับภาคที่มีรายได้สูงต่อหัว” นายพิชัยย้ำ ซึ่งสะท้อนความตั้งใจในการลดความเหลื่อมล้ำ

  • ผลกระทบแบบทวีคูณ (Multiplier Effect): การลงทุนในภาคส่วนหนึ่งจะส่งผลดีต่อไปยังภาคส่วนอื่นๆ เป็นลูกโซ่ จากการวิเคราะห์ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (I-O Table) พบว่า:
    • การลงทุนด้านน้ำ 100 บาท จะส่งผลต่อไปยังภาคการก่อสร้าง 41 บาท, การประปา 14 บาท, แม้กระทั่งสถาบันการเงิน 3.1 บาท
    • การลงทุนด้านคมนาคม 100 บาท จะส่งผลต่อภาคบริการสาธารณะและการก่อสร้างถึง 50.7 บาท

นายพิชัยสรุปในตอนท้ายว่า “การใช้เงินสั้นใส่เร็ว แต่สิ่งที่ได้ก็คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อให้ไปเชื่อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวขนาดใหญ่ต่อไป” ซึ่งเป็นการยืนยันว่ามาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

#กระตุ้นเศรษฐกิจ #งบปี68 #พิชัยชุณหวชิร #รัฐบาลเพื่อประชาชน #เสริมศักยภาพไทย #เศรษฐกิจไทย #โครงสร้างพื้นฐาน #ลดความเหลื่อมล้ำ #SMEs #การท่องเที่ยว

Related Posts