รัฐบาล เผยผลสำเร็จ 1 ปี โครงการ Thailand Zero Dropout ดึงเด็กและเยาวชนกลับคืนสู่ระบบการศึกษาได้เกือบ 1.5 แสนคน “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯ และ รมว.ดีอี สั่ง 77 จังหวัดเดินหน้าค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง ป้องกันหลุดซ้ำ พร้อมอนุมัติโมเดลใหม่ “Mini Learn to Earn” ทุ่มงบ 500 ล้านบาท ปั้นทักษะดิจิทัลให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยง (NEET) 50,000 คน ตอบโจทย์การสร้างกำลังคนคุณภาพสูงสู่นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นับเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าครั้งสำคัญของนโยบายด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศ เมื่อนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ ครั้งที่ 3/2568 ได้เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนภาพความสำเร็จในมิติสังคม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
โครงการ Thailand Zero Dropout (TZD) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุด ณ ปี 2567 พบว่าจำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาลดลงเหลือ 880,463 คน จากเดิมที่เคยมีจำนวนสูงถึง 1,025,514 คน ในเดือนธันวาคม 2566 เท่ากับว่าในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปี โครงการนี้สามารถนำพาเด็กและเยาวชนกลับคืนสู่โอกาสทางการศึกษาได้มากถึง 145,051 คน ตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่เป็นเพียงสถิติ แต่คือการลงทุนในอนาคตของชาติที่สามารถประเมินค่าเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล
นายประเสริฐได้กล่าวถึงความสำเร็จนี้ด้วยความภาคภูมิใจว่า “ผมได้เห็นถึงความสำเร็จจากการลงพื้นที่ และได้มอบประกาศนียบัตรให้กับเด็กที่เข้าร่วมโครงการ เช่นที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ผมได้ฟังความฝันของเด็กและโครงการนี้ได้ทำให้ฝันนั้นเป็นจริง ซึ่งหมายถึงว่าโครงการนี้ได้เดินมาถูกทางแล้ว” คำกล่าวนี้ตอกย้ำว่า หัวใจของโครงการไม่ได้อยู่ที่การลดตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่คือการฟื้นคืนความฝันและสร้างโอกาสให้แก่เยาวชน ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดแต่สำคัญที่สุดของโครงสร้างเศรษฐกิจ
เดินหน้าเฟสสอง: สั่งการ 77 จังหวัด ป้องกัน “หลุดซ้ำ” ด้วยการศึกษายืดหยุ่น
แม้จะประสบความสำเร็จในขั้นแรก แต่รัฐบาลยังคงไม่หยุดนิ่ง รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายเพื่อการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเปราะบางที่อาจเกิดปัญหาเด็กหลุดจากระบบได้อีกครั้ง
“ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ การค้นหาติดตามช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษายังคงต้องดำเนินต่อ” นายประเสริฐกล่าว
ประเด็นสำคัญคือการที่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ในระดับจังหวัดครบถ้วนทั้ง 77 จังหวัดแล้ว ถือเป็นการกระจายอำนาจและสร้างกลไกการทำงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ โดยหลังจากนี้ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงศึกษาธิการ และอีก 11 หน่วยงานภาคีเครือข่าย จะต้องทำงานเชิงรุกในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแข็งขันในการติดตาม ค้นหา ช่วยเหลือ และส่งต่อดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้น โจทย์ที่ท้าทายกว่าการนำเด็กกลับมา คือ การป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบซ้ำสอง ซึ่งนายประเสริฐได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยจัดการศึกษาต้องร่วมกันสร้าง “ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและมีคุณภาพ” เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในทางเศรษฐศาสตร์ แนวคิดนี้สอดคล้องกับการลดต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ของประเทศ การที่เยาวชนคนหนึ่งหลุดออกจากระบบการศึกษา หมายถึงการสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพในอนาคต การเพิ่มขึ้นของภาระสวัสดิการสังคม และการลดลงของรายได้จากภาษีที่ควรจะได้รับ
“Mini Learn to Earn”: พลิกวิกฤตเยาวชน NEET สู่ขุมพลังเศรษฐกิจดิจิทัล
ไฮไลท์สำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือการที่ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ “โครงการ Mini Learn to Earn Model” ซึ่งถือเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจชิ้นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชนนอกระบบการศึกษาอย่างตรงจุดและสอดคล้องกับทิศทางของโลกยุคใหม่
โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน NEET (Not in Education, Employment, or Training) ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่น่าเป็นห่วงที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้สร้างผลิตภาพ (Productivity) ให้กับระบบเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว โดยโครงการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ในช่วงอายุ 16-24 ปี จำนวน 50,000 คน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้แตกต่างและน่าจับตามองคือ การออกแบบระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครบวงจร ตั้งแต่
- การเรียนรู้ (Learn): พัฒนาทักษะดิจิทัลที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
- การประเมินและรับรอง (Certify): จัดการประเมินเพื่อรับรองสมรรถนะและคุณวุฒิวิชาชีพ สร้างความน่าเชื่อถือและมาตรฐาน
- การสร้างรายได้ (Earn): เชื่อมโยงเข้าสู่การจ้างงานหรือการประกอบอาชีพอิสระในชุมชน
- การเก็บข้อมูล (Data): บันทึกประวัติการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบผ่าน E-Workforce Ecosystem Platform ซึ่งสามารถใช้เป็น Portfolio ต่อยอดสู่การศึกษาในระบบหรือการทำงานในระดับที่สูงขึ้นได้ในอนาคต
ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) เสนอโครงการดังกล่าวเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 เป็นจำนวนเงิน 500 ล้านบาท ซึ่งหากมองในมุมของการลงทุนภาครัฐ (Public Investment) งบประมาณจำนวนนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าและคาดว่าจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (Economic Return) ที่สูง ผ่านการสร้างแรงงานทักษะสูงสำหรับภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล ลดอัตราการว่างงาน และเพิ่มรายได้ประชาชาติในที่สุด
บูรณาการข้อมูล: ปลดล็อกความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม
อีกหนึ่งประเด็นเชิงโครงสร้างที่ได้รับการแก้ไขคือ ปัญหาการบูรณาการข้อมูลของเด็กและเยาวชน นายประเสริฐกล่าวว่า การเชื่อมโยงข้อมูลให้ครบถ้วน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ในอดีต เด็กกลุ่มนี้มักจะตกหล่นจากระบบการสนับสนุนของภาครัฐ การบูรณาการข้อมูลจะทำให้รัฐสามารถจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัว งบประมาณอาหารกลางวัน นมโรงเรียน และสวัสดิการอื่นๆ ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งยังสามารถสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ทัดเทียมกับสถานศึกษาในระบบทั่วไปได้ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่ยังเป็นการสร้างความเท่าเทียมของต้นทุนมนุษย์ (Human Capital Equity) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ทุกคนในประเทศสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างเสมอภาค
โดยสรุป ความสำเร็จของโครงการ Thailand Zero Dropout ในขวบปีแรก และทิศทางการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะการผลักดันโมเดล “Mini Learn to Earn” สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่มองปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่ใช่แค่เรื่องของสังคมสงเคราะห์ แต่เป็น “ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การลงทุนในเด็กและเยาวชนในวันนี้ คือการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยในวันข้างหน้า
#TZD #ThailandZeroDropout #ประเสริฐจันทรรวงทอง #กระทรวงดีอี #ลดความเหลื่อมล้ำ #การศึกษาไทย #เศรษฐกิจดิจิทัล #NEET #LearntoEarn #พัฒนาทุนมนุษย์ #งบ500ล้าน