BDE เปิดผลสำรวจ Thailand Digital Outlook ฉบับล่าสุด พบภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 2568 สดใส คาดมูลค่าทะลุ 4.69 ล้านล้านบาท แต่เจาะลึกศักยภาพผู้ประกอบการกลับพบความเหลื่อมล้ำชัดเจน กลุ่มทุนใหญ่มีความพร้อมระดับสูง ขณะที่ SMEs ยังตามหลังอยู่มาก โดยเฉพาะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการบริหารจัดการภายในที่ต้องเร่งอุดหนุน พร้อมชี้ศักยภาพหนุนเมืองอัจฉริยะกระจุกตัวในกรุงเทพฯ เป็นหลัก
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) หรือ BDE ได้จัดงานสัมมนา “ความพร้อมผู้ประกอบการดิจิทัลไทยต่อความท้าทายในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” พร้อมเปิดเผยผลการสำรวจภายใต้โครงการ Thailand Digital Outlook ซึ่งฉายภาพแนวโน้มและศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ประธานในพิธีและผู้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2568 และความพร้อมผู้ประกอบการดิจิทัลไทย” ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยระบุว่า แม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 4.69 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.2 จากปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 3.4 เท่าของ GDP ประเทศ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนบทบาทที่สำคัญยิ่งของเศรษฐกิจดิจิทัลในการเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทย
“ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสะท้อนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่สำคัญเพื่อวางแผนสำหรับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คือ ‘ความพร้อมของผู้ประกอบการดิจิทัล’ ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่จะผลักดันให้การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง” นายเวทางค์กล่าว
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าดิจิทัลมีมูลค่าประมาณ 866,000 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (เติบโตร้อยละ 9.9) ตามมาด้วยอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (เติบโตร้อยละ 8.1) และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว (คาดการณ์เติบโตร้อยละ 5.8)
ช่องว่างความพร้อมดิจิทัล: รายใหญ่พร้อมพุ่งทะยาน รายย่อยต้องการแรงหนุน
ไฮไลท์สำคัญของการสำรวจในครั้งนี้ คือการเปิดเผยให้เห็นถึง “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” (Digital Divide) ระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างมีนัยสำคัญ
ผลการสำรวจชี้ว่า ผู้ประกอบการดิจิทัลขนาดใหญ่ มีระดับความพร้อมเฉลี่ยสูงถึง 2.74 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4 ซึ่งจัดอยู่ในระดับสูง (High) นายเวทางค์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรดิจิทัลขนาดใหญ่มีระดับความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และมีระบบ แนวทาง หรือกระบวนการดิจิทัลเกิดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งเป็นความร่วมมือของการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลตามนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาดิจิทัลด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัลและก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับแนวหน้าของโลก”
ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการดิจิทัลขนาดเล็ก กลับมีระดับคะแนนความพร้อมเฉลี่ยเพียง 1.5 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่อย่างมาก และเมื่อเจาะลึกลงไปในรายมิติ พบว่า 2 มิติที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กต้องการการสนับสนุนอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ:
- มิติด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Infrastructure): มีคะแนนต่ำที่สุดเพียง 1.00 คะแนน ซึ่งเป็นจุดเปราะบางอย่างยิ่งในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน การขาดความพร้อมในด้านนี้อาจส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียความน่าเชื่อถือ
- มิติการบริหารจัดการภายในด้วยระบบดิจิทัล (Digitalized Process Operation): ได้คะแนน 1.20 คะแนน ชี้ให้เห็นว่า SMEs จำนวนมากยังคงพึ่งพากระบวนการทำงานแบบดั้งเดิม ทำให้ขาดประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการแข่งขัน
ภาครัฐอัดฉีดนโยบายช่วยเหลือ SMEs เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
เพื่อลดช่องว่างและยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อย รัฐบาลได้ออกมาตรการและนโยบายสนับสนุนที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่:
- นโยบายโครงสร้างพื้นฐานและ “Go Cloud First”: ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูงและสนับสนุนให้ธุรกิจใช้บริการคลาวด์เป็นอันดับแรก นโยบายนี้ดึงดูดผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกให้เข้ามาลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในไทย ทำให้เกิดการแข่งขัน ราคาบริการถูกลง และลดต้นทุนด้านเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการ
- การสนับสนุนด้านเงินทุน:
- กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี): ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนสำคัญให้ผู้ประกอบการนำไปประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- โครงการ DEPA Mini Transformation Voucher: คูปองช่วยเหลือสำหรับ SMEs โดยเฉพาะ เพื่ออุดหนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปยกระดับการบริหารจัดการภายในธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น
- มาตรการด้านภาษี: เปิดโอกาสให้ SMEs สามารถนำค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200% เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น
ส่องศักยภาพหนุน Smart City: กระจุกตัวในเมืองหลวง มุ่งเน้น Smart Living
นอกเหนือจากความพร้อมทางธุรกิจ การสำรวจในปี 2568 ยังได้ประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการในการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ทั้ง 7 ด้าน ผลปรากฏว่าผู้ประกอบการดิจิทัลไทยมีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันด้าน Smart Living (การดำรงชีวิตอัจฉริยะ) คิดเป็นร้อยละ 19.12 โดยมี 3 อุตสาหกรรมหลักเป็นแกนนำ ได้แก่ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม, ฮาร์ดแวร์ และบริการดิจิทัล
รองลงมาคือด้าน Smart Economy (เศรษฐกิจอัจฉริยะ) ที่ร้อยละ 14.37 ซึ่งขับเคลื่อนโดยอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเชิงพื้นที่กลับพบประเด็นที่น่าสนใจและเป็นความท้าทายสำคัญ นั่นคือ การกระจุกตัวของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ
- กรุงเทพมหานคร: เป็นที่ตั้งของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการพัฒนา Smart City สูงถึงร้อยละ 42.9 (174 บริษัท)
- ภาคกลาง: ตามมาเป็นอันดับสองที่ร้อยละ 28.1 (114 บริษัท)
- ภาคตะวันออก: อยู่ที่ร้อยละ 9.4 (38 บริษัท)
ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะยังมีแนวโน้มที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเมืองเป็นหลัก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องส่งเสริมและกระจายการพัฒนาผู้ประกอบการในภูมิภาคอื่น ๆ ให้มากขึ้น รวมถึงส่งเสริมในด้านที่ยังขาดแคลน เช่น Smart People และ Smart Environment เพื่อให้การพัฒนาเมืองอัจฉริยะของประเทศไทยเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืนในระยะยาว
#เศรษฐกิจดิจิทัล #BDE #สดช #ผู้ประกอบการดิจิทัล #SMEs #SmartCity #ThailandDigitalOutlook #ความพร้อมดิจิทัล #ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ #เมืองอัจฉริยะ