โมเดลของการทรานส์ฟอร์มสู๋ดิจิทัลที่นับว่าประสบความสำเร็จที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย TheReporter Asia นึกถึงชื่อ ‘แสนสิริ’ ขึ้นมาทันที เพราะจากบริษัทที่ไม่ได้ต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเลย ไม่มีแม้กระทั่งนักพัฒนาโปรแกรมอยู่ภายในบริษัทเลย แต่วันนี้แสนสิริตั้งเป้าที่จะกลายเป็นบริษัท Ai แห่งแรกในประเทศไทยให้ได้ภายในปี 2020 ซึ่งก็คือภายในปีหน้านั่นเอง
จากเป้าหมายเช่นนี้ ทำให้เกิดความท้าทายในหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทั้งเรื่องของความรู้ ความเข้าใจ การพัฒนา การเลือกใช้ การประยุกต์ใช้ ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง การปรับตัว การฝึกอบรม หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรขนาดใหญ่ ให้ตระหนักและใช้งานเทคโนโลยี อย่างที่คนเทคโนโลยีกระทำ
เรื่องนี้เบื้องหลังความสำเร็จต้องมีบริษํทเทคโนโลยีช่วยเหลืออย่างแน่นอน และเอนจิ้นสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้แสนสิริไปถึงฝั่งฝันได้ “อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส” หรือ AWS ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่สำคัญ
วันนี้ TheReporter Asia ได้มีโอกาสเจอ ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส จำกัด ถึงการเป็นป๋าดันที่ทำให้แสนสิริ กล้าออกมาประกาศตัวที่จะเป็น Ai Company ซึ่งหมายถึงการเป็นบริษัทที่จะมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย ในทุกทุกกระบวนการทำงาน
นับตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล พิจารณาโครงการ การควบคุมการก่อสร้าง การจัดการเอกสาร ตลอดจนจบปิดโครงการ ซึ่งเรื่องนี้มีความซับซ้อนที่สำคัญ และเป็นโมเดลต้นแบบที่บริษัทอื่นๆจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแน่นอน
ดร.ชวพล กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เราเข้ามาช่วยดูแลทั้งแพลตฟอร์มเลย ซึ่งความต้องการของแสนสิริ คือการรีแบรนด์ไปสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยมี 2 ส่วนที่สำคัญ ส่วนแรกคือนวัตกรรม(Innovation) ซึ่งการที่จะสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ แอปพลิเคชั่นใหม่ขึ้น หรือสร้าง User Experience ใหม่ๆให้เกิดขึ้น จะต้องมีทั้งในส่วนของดิจิทัล เอไอ แมชชีนเลิร์นนิ่ง ไอโอที นี่คือสิ่งที่เราต้องมาทำงานร่วมกัน
ด้วยการนำตัวอย่างของการพัฒนาที่เกิดขึ้นมาพัฒนาร่วมกัน ด้วยความหลากหลายของ AWS ที่เรามีเครื่องมือในการสร้างและพัฒนาเช่นนี้ รองรับอยู่บนแพลตฟอร์มของเราเอง โดยปีที่ผ่านมาเรามีฟีเจอร์ใหม่ๆขึ้นมารองรับการทำงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1,950 ฟีเจอร์ ปีก่อนก็มีพิ่ม1,480 อย่าง ซึ่งแต่ละปีเรามีของใหม่ๆออกมาเยอะแยะ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงสามารถเปลี่ยนธุรกิจ Traditional Business แบบเดิมๆซึ่งมีเครื่องเต็มไปหมดเลย ให้กลายมาเป็น Digital Business ที่มีแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบใหม่ในการทำงาน ซึ่งมีทั้งความอัจฉริยะและนวัตกรรมเทคโนโลยี โดยเราสามารถนำข้อมูลการทำงานแบบเดิมเหล่านี้มาสร้างแพลตฟอร์ม ที่ข่วยให้เกิดความรวดเร็วในการทำงานมากขึ้น เกิดประสิทธิผลที่มากขึ้น
ซึ่งในส่วนของความเร็วนั้น เราครอบคลุมทั้งส่วนของความเร็วในการเข้าใช้งานของลูกค้าแสนสิริเอง และความเร็วในการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าว ซึ่งในสมัยก่อนที่ไม่มีฟีเจอร์หลายพันชิ้นในแพลตฟอร์มการพัฒนาของ AWS นักพัฒนาก็จะต้องเริ่มต้นเขียนเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ใช้ระยะเวลาหลายเดือน ไปจนถึงหลายปี
แต่เมื่อเรามีฟีเจอร์ในทุกวันนี้ กระบวนการพัฒนาของบางโครงการ เราสามารถสร้างและใช้งานได้ภายในระยะเวลาหลักวัน ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่จะช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนของการใช้งานก็ลดลง เนื่องจากเป็นการจ่ายตามการใช้งานจริงผ่านระบบคลาวด์
โดยบางเซอร์วิสต์คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานเป็นวินาทีหรือชั่วโมงกันแล้ว ทำให้ไม่ต้องวางงบประมาณเรื่องระบบล่วงหน้าอย่างในอดีต อีกทั้งระดับค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยีก็มีอัตราลดลงต่อเนื่องทุกปีอยู่แล้ว
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเรามีไอเดีย เราสามารถสร้างเป็นต้นแบบ แล้วทดลองใช้งานได้เลยทันทีในต้นทุนที่ต่ำมาก เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปซื้อเครื่องฮาร์ดแวร์มาติดตั้งอีกต่อไป และด้วยระยะเวลาที่สั้นมาก คนที่มีไอเดียก็สามารถสร้างรูปแบบธุรกิจ จากการทดลองที่ประสบความสำเร็จ

ด้วยรูปแบบสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ทำให้เราไม่เสียโอกาสในการทดลอง และลดความเสี่ยงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเหมือนการทดลองตลาดในอดีต
ซึ่งในอดีตนั้น เป็นเรื่องยากมากเลยที่เราจะคาดการณ์ว่าโครงการไหน จะมีคนมาใช้เท่าไหร่ จะคุ้มทุนไหม จะต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งทั้งหมดเราต้องทำลงบนแผ่นกระดาษ แต่ถ้าวันนี้ เราสามารถเขียนโครงการแล้ว ทดสอบในระบบที่มีสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงมากที่สุดแล้วทดสอบความสำเร็จดู ก็จะทำให้ต้นทุนในการสร้างไอเดียของเราต่ำลง ความเสี่ยงของการนำไอเดียไปใช้ก็ลดน้อยลงหรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
ความง่ายของการพัฒนาที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เรามีการออกฟีเจอร์เพื่อช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้ง่ายขึ้น ราวปีละ 800 รายการ 3 ปีก่อนเราออก 1,100 อย่าง และ 2 ปีก่อนเราออก 1,400 อย่าง และในปีที่ผ่านมาเราออก 1,950 อย่าง นั่นหมายถึงสปีดในการออกเทคโนโลยีใหม่ๆของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว หากนักพัฒนาต้องการสร้างไอเดียอะไรขึ้นมาสัก 1 ชิ้น อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆในการทำ แต่เมื่อเขามีเครื่องมือให้ใช้มากขึ้น ความเร็วของการสร้างและพัฒนาก็จะร่นเวลาลงเหลือหลักชั่วโมงเท่านั้น
หลักของการพัฒนาเทคโนโลยีให้ออกมาทุกวันของเรา เราตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้งานเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งเมื่อฟีเจอร์ใหม่ออกมา โครงการที่ถูกออกแบบมาเดิมนั้นจะต้องสามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่ หรืออัปเกรดเข้าสู่ระบบใหม่ได้อย่างทันทีเช่นกัน เพราะสิ่งนี้คือหัวใจของการทำ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นที่แท้จริง ที่จะต้องสามารถเข้าใช้งานเทคโนโลยีของวันพรุ่งนี้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ภายใต้โครงสร้างเดิม
ขณะที่เมื่อมองเรื่องต้นทุนของการพัฒนา ทั้งในส่วนของการลดราคาแต่ละฟีเจอร์ลงมาหลายครั้งของ AWS เอง และการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง ก็ทำให้นักพัฒนาสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดการรองรับการใช้งานของไอเดียนั้นๆได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และและต้นทุนที่สำคัญที่สุด คือต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจและต้นของการพัฒนาโดยรวม
เวลาที่เราสร้างเซอร์วิสต์ใหม่ๆขึ้น ปัจจุบันจะเป็นระบบอัตโนมัติหมด ซึ่งก็ทำให้ต้นทุนของฟีเจอร์ลดน้อยลง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของการ compliances ซึ่งทุกเซอร์วิสต์ที่ออกมาจะต้องใช้ และเมื่อพูดถึงเรื่องระบบชำระเงินเราก็ต้องใช้ compliance ในกลุ่ม PCIs
ซึ่งสมัยก่อนเราต้องทำเองทั้งหมด ทั้งในส่วนของโครงสร้างและแอปพลิเคชั่น ซึ่งในการทำ compliance ไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แล้วก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจจของแสนสิริแต่อย่างใด
แต่ปัจจุบันเมื่อเราใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอะไรก็ตามที่อยู่บนแพลตฟอร์ม AWS จะได้รับการ compliance แบบอัตโนมัติ ทำให้ลดลงทั้งระยะเวลา จำนวนคน จำนวนเงิน โดยลดลงเยอะมากจะมีก็แต่การ compliance ในระดับแอปพลิเคชั่นเท่านั้น ทำให้เมื่อเรามีไอเดีย เราก็จะสามารถร่นระยะเวลาจากเดิมที่ใช้เป็นเดือนๆ เหลือเพียงเป็นวันวัน หรือในหลักสัปดาห์เท่านั้น

หัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มแสนสิริ สู่ Ai
สิ่งสำคัญของการพัฒนาไปสู่บริษัทดิจิทัล หรอืการทรานส์ฟอร์มนั้น สิ่งแรกคือเรื่องของอินโนเวชั่น หรือไอเดีย อย่างที่กล่าวไปแล้ว และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือสิ่งที่ต้องย้ายไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ เราต้องรู้ว่ามีอะไรบ้าง
เนื่องจากบริษัทที่อยู่มานานกว่า 30-40 ปี จะมีข้อมูลที่เยอะมาก เราจะต้องมาทำการศึกษาว่าส่วนไหนสำคัญอย่างไร ระยะเวลาการย้ายที่เหมาะสม และรูปแบบการย้าย เมื่อย้ายแล้วของใหม่หน้าตาจะเป็นอย่างไร เพื่อสร้างขั้นตอนการทำงานให้เกิดความต่อเนื่องมากที่สุด
งานทั้ง 2 ส่วนทั้งอินโนเวชั่น ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำเร่งด่วน เป็นปัจจุบัน ในส่วนของการออกแบบ ดีไซน์ และพัฒนา เพื่อเข้ามาแก้ไขจุดพกพร่องหรือเสริมเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น แต่ในส่วนของการย้ายนั้น เป็นส่วนของการสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้คล่องตัวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทั้งหมดเป็นการทำงานหลังบ้านของบริษัท ทั้งระบบบัญชี ระบบทรัพยากรบุคคล หรืออื่นๆอีกมากมาย ทั้ง 2 ส่วนจะต้องมีการประสานแนวคิดเข้าด้วยกัน
ความเร็วของการทรานส์ฟอร์มของ 2 ส่วนนี้ก็จะต่างกัน ซึ่งโดยธรรมชาติ งานในส่วนอินโนเวชั่นจะมีความรวดเร็วกว่า เนื่องจากการย้ายของที่ยังมีการทำงานอยู่เป็นเรื่องยากที่ต้องใช้เวลา
ทั้งการปรับตัว การเปลี่ยนแปลง การพัฒนาบุคคลกร ตลอดจนการเพิ่มความรู้ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้งานทดแทนการทำงานรูปแบบเดิมได้อย่างคล่องตัว จึงจะเกิดการทรานส์ฟอร์มอย่างเป็นรูปธรรม
จุดที่ยากของการทำแพลตฟอร์มให้กับแสนสิริ ในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีความท้าทายที่แตกต่างกัน โดยความท้าทายทางฝั่งนวัตกรรม ก็คือเราจะทำอย่างไรให้พนักงานสามารถใช้งานแพลตฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการทำของที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
เราก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆมากพอ มีความเข้าใจรูปแบบการทำที่ถูกต้อง เข้าใจว่าจะทำอย่างไรให้ปลอดภัย สามารถลดขนาดข้อมูลได้อย่างถูกต้องได้ในระยะยาว ในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมให้เขาสนใจทดลองใช้งานด้วย
ขณะที่ความท้าทายในการย้ายของเก่านั้น เราจะทำอย่างไร ในการย้ายของที่อยู่บนแพลตฟอร์มโบราณย้ายไปอยู่บนแพลตฟอร์มใหม่ โดยที่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ยังต้องทำงานอยู่
แล้วเมื่อย้ายไปแล้วจะต้องเป็นการทำงานที่ดีขึ้น และมีเวลาการจัดการที่มากขึ้นกว่าเดิม ความท้าทายของทั้ง 2 อย่างก็จะต่างกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะมีทีมที่แยกกันทำอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นทักษะที่แตกต่างกัน
โมเดลของการเปลี่ยนให้องค์กรใหญ่อย่าง ‘แสนสิริ’ กลายเป็นบริษัทดิจิทัล ที่ใช้ Aiในทุกขั้นตอนการทำงาน สามารถประยุกต์ใช้ได้กับบริษัทแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด ซึ่งเรามีลูกค้า 2 แบบ ทั้งแบบบริษัทดิจิทัล Digital Business ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดมาบนเทคโนโลยีอยู่แล้ว
กลุ่มนี้ก็จะสามารถพัฒนาในส่วนของนวัตกรรมต่อเนื่องได้เลยทันที และอีกกลุ่มที่เป็น Traditional Business ทั้งกลุ่มธนาคาร บริษัทประกัน ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทโทรคมนาคม กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ก็จะต้องทำทั้ง 2 อย่าง ทั้งนวัตกรรมและการย้าย
แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเลือกทำ นวัตกรรมก่อน เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้ลูกค้าได้ชัดเจน ซึ่งก็จะสามารถทำได้เร็ว แล้วในปัจจุบันผู้บริหารที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนยังมีความกังวลอยู่ในเรื่องของเทคโนโลยี ก็มีความกังวลน้อยลง
มีความมั่นใจและสามารถเข้าใจในไอเดียแบบดิจิทัลมากขึ้น เนื่องจากเริ่มเห็นผลจากการทำนวัตกรรมเข้ามาช่วยลดต้นทุนในปีก่อนหน้า ดีกว่าเดิม ถูกกว่าเดิม และมีความปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น บริษัทต่างๆก็จะเริ่มขยับขยายและมองเรื่องของข้อมูลเก่าๆที่เก็บมาตลอดหลายสิบปีแต่มีคุณประโยชน์ต่ำๆ ในการย้ายเข้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น องค์กรส่วนใหญ่ก็จะเป็นลักษณะเช่นนี้ ซึ่งไม่ต่างจากการเปลี่ยนแปลงของแสนสิริ ที่ตั้งเป้าในการเดินหน้าสู่ Ai Company นั่นเอง
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง