อมาเดอุส ร่วมกับดีป้า และ พาต้า เปิดตัวสมุดปกขาวแนะนำกลยุทธ์ให้ประเทศไทย พร้อมรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวในปี 2030 อย่างยั่งยืน อวดแนวคิดเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกภาคส่วนเพื่อวิเคราะห์และหาโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยข้อมูล Big Data ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นายไซมอน เอครอยด์ รองประธานกรรมการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ อมาเดอุส เน้นย้ำว่า พื้นที่จุดหมายปลายทางของตลาด MICE ในประเทศไทย ต้องมีเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อ เพื่อให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ หากการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตราเท่ากับปัจจุบัน สนามบินในประเทศไทยจะถูกใช้งานเต็มความจุเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ การขยายอาคารสนามบินอาจเข้ามาช่วยลดปัญหานี้ได้บางส่วน แต่เทคโนโลยีอัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานในประเทศไทยได้ในอนาคต
“เรามีข้อมูลด้านการท่องเที่ยวอยู่ แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังไม่ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการบริหารจัดการในช่วงฤดูท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีวิเคราะห์และใช้ข้อมูลจึงมีความสำคัญพอๆ กับการเข้าถึงแหล่งข้อมูล หากนำมาใช้อย่างเป็นระบบ ข้อมูลเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังช่วยในการวางแผนอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาตั๋ว ไปจนถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายการท่องเที่ยวระยะยาว”
ในอนาคตอันใกล้นี้ จุดหมายปลายทางยอดนิยมในกลุ่ม MICE ในภูมิภาคจะหันมาแข่งขันกันที่ความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง ดังนั้น เมืองเหล่านี้จึงจำเป็นต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยมอบความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยว เช่น บริการเช็คอินและดร็อปกระเป๋า ณ สถานที่จัดประชุม ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะจุดหมายปลายทางในตลาด MICE ข้างต้นไม่ได้แข่งขันกับเพียงจังหวัดอื่นๆ ในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย
“Smart Mobility ในประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพสูงมากในการปรับปรุงการเดินทางในเขตเมืองได้”
การใช้ข้อมูลการขนส่งในการจัดการระบบการจราจรแบบเรียลไทม์ เช่น สัญญาณไฟจราจร หรือจัดการบริการด้านเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) เช่น รถรับส่ง Grab และ Get เป็นเพียง 2 แนวทางเด่นๆ ในการประยุกต์ใช้โซลูชันนี้ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่แข็งแกร่ง

ด้านนายประชา อัศวธีระ รองประธานสำนักงานเขตภาคใต้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า “ทุกวันนี้ เราได้สัมผัสกับสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับ Smart Mobility แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น หลายๆ จังหวัดจำเป็นต้องพัฒนาตามโมเดล บริษัทพัฒนาเมือง ซึ่งนำร่องโดยจังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำเป็นและวางแผนการดำเนินงานในระยะยาว”
การเข้าถึงแหล่งเงินทุนถือเป็นหนึ่งอุปสรรคของประเทศไทย และแนะนำว่าจังหวัดควรจัดตั้ง “บริษัทพัฒนาเมือง” ร่วมกับพันธมิตรภาคเอกชนในอนาคต เพื่อให้สามารถระดมทุนได้เพียงพอ และวางแนวทางการร่วมมือพันธมิตรที่เป็นมาตรฐานชัดเจน
โดยรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ซึ่งระบุว่าแม้การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะเติบโต 6% ในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนประเทศไทยถึง 38.27 ล้านคน และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ยังคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2562 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
แต่กระนั้นความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของสนามบินต่างๆ ในประเทศกลับกำลังจะถึงเพดานสูงสุด ในขณะที่จุดหมายปลายทางยอดนิยมเริ่มได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากเกินไป (Overtourism) ซึ่งสองปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
รายงานได้นำเสนอ 4 ประเด็นหลักที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญในทศวรรษหน้า ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบิน การพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานและเมือง การผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายการคมนาคมในเขตเมือง และการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง ซึ่งล้วนต้องอาศัยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะไปประยุกต์ใช้
โดยนอกเหนือจากการขยายอาคารสนามบินที่ได้วางแผนไว้แล้วนั้น ท่าอากาศยานของประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารภายในอาคารสนามบิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยาน ตลอดจนสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในทศวรรษหน้าอีกด้วย
รายงานแนะนำว่า ระบบการเช็คอินด้วยตนเองผ่านคีออส เครื่องดร็อปกระเป๋าอัตโนมัติ และการยืนยันตัวตนผ่านระบบไบโอเมตทริกซ์ เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสาร และสำหรับสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่น ควรพิจารณาเปิดให้บริการเช็คอินและดร็อปสัมภาระนอกสนามบิน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์เข้ามาอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารสามารถเช็คอิน รวมถึงดร็อปกระเป๋า นอกอาคารผู้โดยสารได้อีกด้วย
และยังมี 2 เซ็กเม็นต์ที่น่าจับตามอง ได้แก่ ธุรกิจ MICE (อุตสาหกรรมการจัดประชุมสัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ) และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน คือกลุ่ม “bleisure” หรือผู้ที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจแล้วอยู่ท่องเที่ยวพักผ่อนต่อ โดยตลาดทั้งสองนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ในการสร้างรายได้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทศวรรษหน้า
อีกทั้งการเชื่อมต่อระบบรางระหว่างสนามบินกับศูนย์ประชุมโดยตรง เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม MICE ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง เช่น ขอนแก่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และเชียงรายแล้ว รายงานยังแนะนำว่าในผู้ประกอบธุรกิจ MICE ในพื้นที่เหล่านี้ควรจัดตารางเวลารถไฟและเที่ยวบิน ให้สอดคล้องกับเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการประชุม เพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาด bleisure ด้วยเช่นกัน
การสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) หรือโซลูชันที่เชื่อมต่อข้อมูลและเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการเคลื่อนที่ของประชากรรอบๆ เมือง เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ระบุไว้ในรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” โดยโซลูชันนี้จะเข้ามาช่วยลดความแออัดและมลภาวะในเขตเมืองของประเทศไทย และทำให้เมืองน่าดึงดูดยิ่งขึ้นในทั้งสายตาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
นอกจากนี้รายงานยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายสำคัญประการหนึ่งคือ ภาครัฐของประเทศไทยยังไม่ทราบว่าจะร่วมมือกับบริษัทใด ในขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดเล็ก ธุรกิจสตาร์ทอัพ และนักลงทุนต่างประเทศเองก็มักไม่ทราบว่าจะร่วมมือในลักษณะใด ดังนั้น ที่ปรึกษาฝ่ายที่สามอาจมีความสำคัญในการนำผู้เล่นจากทั้งสองภาคส่วนมาพบกัน
ประเด็นสุดท้ายที่ระบุไว้ในรายงานคือ ความสำคัญของการวางมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยจากความเสี่ยงของปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง
ทั้งนี้อมาเดอุส ดีป้า และ พาต้า มองว่า หากประเทศไทยต้องการจะบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต คณะทำงานด้านการท่องเที่ยว หน่วยงานท้องถิ่น และธุรกิจบริการ ควรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ เพื่อการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Real-time Analysis) และการวางโมเดลด้วยเทคนิคการทำนายข้อมูล (Predictive Modeling) แต่เช่นเดียวกับ Smart Mobility การใช้เทคโนโลยีข้างต้นยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นในประเทศไทย
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง