IoT Edge เทรนด์ของการเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่ง

IoT Edge เทรนด์ของการเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่ง

เทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเรา ทั้งรีโมตทีวี เครื่องพีซีหรือแมค การสตรีมเพลงและวิดีโอ ขณะที่ในโลกธุรกิจ เทคโนโลยีเริ่มกลืนกินหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์, ระบบเซ็นเซอร์, ระบบการวิเคราะห์, IoT, IoT Edge และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดเป็นเรื่องของ ระบบคลาวด์

คลาวด์ ยังคงอยู่และจะเติบโตขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

ปรากฏการณ์ของระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง นำไปสู่บริการดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ดังเช่น รูปแบบธุรกิจที่ปรับปรุงใหม่ของ Netflix นอกจากนี้ยังได้มีความพยายามขององค์กร ในการย้ายแอปพลิเคชันไอทีไปสู่ระบบคลาวด์ ซึ่งให้พลังประมวลผลที่สามารถปรับขยายได้ไม่จำกัด ด้วยต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลที่ต่ำ และสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ง่ายขึ้นจากทุกที่ทั่วโลก

ผ่านมากว่าทศวรรษที่เราทุกคนต่างมองไปที่แหล่งประมวลผลขนาดใหญ่บนคลาวด์ แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องใช้ระบบคลาวด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อทดสอบและสร้างรูปแบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)ที่สมบูรณ์แบบขึ้น

แต่เราจะสามารถสร้างปัจจัยกระทบทางธุรกิจทั้งหมดนั้นได้อย่างไร? เมื่อเราต้องตัดสินใจเรื่องวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น การแปรรูปโลหะหนัก (ปิโตเลียม ก๊าซ และน้ำมัน)

ข้อมูลที่ลงลึกในรายละเอียด เช่น โมเลกุลของพืช หรือภาวะวิกฤตที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ เช่น การรักษาผู้ป่วย ซึ่งคำตอบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสร้างปัจจัยให้ AI เรียนรู้ได้หมด

“ทุกสมองใหญ่ต้องสะท้อนความแข็งแกร่งที่รวดเร็ว ชัดเจนและมีอำนาจ และคำตอบนั่นก็คือ IoT Edge ” ประมวลผลที่สถานที่จัดเก็บข้อมูลที่เป็นขอบปลายของเครือข่าย เพื่อลดระยะเวลาการตอบสนองลง

IoT Edge เข้ามามีบทบาทเมื่อต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว ด้วยการทำเป็นข้อมูลปิด เพื่อลดระยะเวลาการตอบสนองของเครือข่าย ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่อุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก ไปจนถึงเกตเวย์ขนาดใหญ่เป็นต้น

เทคโนโลยี

หรือแม้กระทั่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติก็ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ IoT Edge ชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน ซึ่งสมองของรถไม่สามารถอยู่ในคลาวด์ได้ เนื่องจากต้องการการตอบสนองแบบทันทีจากรถ อุปกรณ์ทั้งหมดจะช่วยให้รถสามารถใช้ข้อมูลในท้องถิ่นได้แบบเรียลไทม์ เพื่อปรับปรุงสภาพโดยรอบรถและควบคุมประสิทธิภาพของการขับเคลื่อน ลดความเสี่ยงและมอบความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

อุปกรณ์เหล่านี้บอกเราได้จากข้อมูลเรียลไทม์ที่เก็บรวบรวมจากเซ็นเซอร์?

“เครื่องนี้ร้อนเกินไป”

“อุปกรณ์นี้กำลังจะหยุดทำงาน”

“อุปกรณ์ควบคุมปั๊มน้ำมัน จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับบริการจากวิศวกรเพียงอย่างเดียว”

เราไม่ได้พูดถึงระบบคลาวด์ เพื่อมาเปรียบเทียบกับขั้นตอนการทำงานของ IoT Edge แต่เราต้องการทั้งสองอย่างเลย เนื่องจากอุปกรณ์ไอโอทีทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง ณ สถานที่จัดเก็บที่นับว่าเป็นขอบปลายของเครือข่าย จะต้องสามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันคลาวด์ระดับองค์กร หรือส่งต่อข้อมูลสู่การประมวลผลขั้นสูงบนระบบคลาวด์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ระบบคลาวด์ต้องการ Edge และในขณะเดียวกันระบบ Edge ก็ต้องการคลาวด์ (ในสถานที่ที่เราสอน AI ให้รู้จักสิ่งต่างๆ กระบวนการนี้ก็เรียกว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT Edge เช่นกัน)

การปรับสมดุล

เป้าหมายคือการหาสมดุลระหว่างสิ่งที่ตั้งอยู่ที่Edgeกับสิ่งที่ตั้งอยู่ในคลาวด์ (ทั้งของสาธารณะหรือส่วนตัว) ซึ่งกลยุทธ์ของ IoT Edge จะช่วยให้ความสามารถเหล่านี้ดีขึ้น

เทคโนโลยี

  • ความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ข้อมูลใกล้เคียงกับแหล่งที่มา เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในเครือข่าย
  • เพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ ด้วยการประมวลผลข้อมูลดิบที่Edge และผลักดันเฉพาะข้อมูลที่มีมูลค่าสูง (รวมและปรับให้เข้ากับบริบท) ไปยังระบบคลาวด์
  • การเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลแบบออฟไลน์ เมื่อการเข้าถึงระบบคลาวด์ / เครือข่ายไม่น่าเชื่อถือ (เช่นในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่นในฟาร์มขุดน้ำมันหรือนิคมอุตสาหกรรม)
  • การจัดการวงจรชีวิตที่ดีขึ้นของกลุ่มอุปกรณ์ขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถอัปเดตได้จากระยะไกลและปลอดภัย เมื่อเทียบกับส่วนกลาง (กล่าวคือEdgeจะประมวลผลที่อัปเดตที่สุดและเลือกที่จะส่งข้อมูลที่สำคัญเข้าส่วนกลาง)

ทั้งนี้ธุรกิจบางแห่งมีสินทรัพย์ที่ห่างไกล ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายหรือคลาวด์ที่น่าเชื่อถือได้ ยกตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซบนบก เกตเวย์ IoT Edge จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดย Schneider Electric’s Realift ™ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ความสามารถของแมชชีนเลิร์นนิ่งของ Microsoft ในการตรวจสอบและกำหนดค่าการทำงานของปั๊มจากระยะไกล แทนที่จะต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่เกิดเหตุเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ยังสามารถจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เฉพาะ เมื่อจำเป็นที่จะซ่อมบำรุง จากการระบุของระบบชี้วัด Realift เมื่อตรวจพบข้อผิดพลาดขึ้น นับเป็นการช่วยลดต้นทุนได้อย่างมหาศาล จากการควบคุมระยะไกลในอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย และเป็นตัวอย่างของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่เหมาะสมอีกด้วย

IoT Edge ยังมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนความยั่งยืน เช่นเดียวกับกรณีของโซลูชั่น microgrid ที่ต้องการการวิเคราะห์ ณ สถานที่นั้นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารในทุกจุด โดยแผงอัจฉริยะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์Edgeระดับสูง ที่จะช่วยกระจายพลังงานตามสถานการณ์การบริหารจัดการพลังงานที่จำเป็น ตามความต้องการที่แท้จริงของตึกอย่างยั่งยืน

เทคโนโลยี

เราได้นำแนวทางนี้มาใช้ที่สำนักงานใหญ่ของ NAM ในบอสตันและเมือง Millford รัฐ Connecticut ได้ปรับใช้ Schneider EcoStruxure ™ Microgrids เพื่อสนับสนุนอาคารที่สำคัญและช่วยประหยัดพลังงาน

Entrade เป็น OEM ที่สร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่สามารถเปลี่ยนชีวมวล เช่น เศษไม้เศษเปลือกหอยหรือเศษอาหารจากครัว เป็นพลังงานสีเขียว ช่วยให้เกิดความยั่งยืน โดยการใช้ EcoStruxure ™ Machine Advisor เข้ามาจัดการประสิทธิภาพของอุปกรณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

จับตามูลค่าทางธุรกิจของ IoT Edge

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 75% ของข้อมูลจะถูกประมวลผลที่ “Edge” ภายในปี 2565 มีข้อควรพิจารณาในการใช้ประโยชน์จากมูลค่าทางธุรกิจ (ตัวอย่างเช่น การรวมเอาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที มาจับข้อมูลท้องถิ่นในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

ด้วยการนำ IOT Edge มาประยุกต์ใช้ ให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ) โดยสามารถเรียนรู้วิธีเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้ประโยชน์จากความสามารถในการทำเครือข่าย IoT Edge ในลักษณะที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบ ‘คลาวด์’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิตอล ซึ่งปัจจุบัน IoT Edge ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศน์ดิจิทัลที่ใหญ่ขึ้นนี้ด้วยเช่นกัน

บทความโดย Cyril Perducat EVP IoT & Digital Offers Schneider Electric

#SchneiderElectricThailand

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

Schneider Electric

Related Posts