ธุรกิจตู้เติมเงินบุญเติม เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 30% ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา พร้อมผลัดใบสู่รุ่นลูก เดินหน้านำธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ดึงออราเคิลวางแพลตฟอร์มคลาวด์ใหม่ ชูเทคโนโลยี BI ลดต้นทุนกว่า 50% ช่วยเข้าถึงลูกค้าและกำหนดทิศทางการทำธุรกิจ รุกขยายต่างประเทศอย่างจริงจัง ตั้งเป้าเป็นช่องทางหลักเปลี่ยนเงินสดเป็นดิจิทัลผ่านตู้ด้วยบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นายพัทธนันท์ อมตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนผ่านธุรกิจเข้าสู่ดิจิทัลครั้งนี้ เริ่มจากการกลับเข้ามาทำงานกับธุรกิจของที่บ้าน ด้วยความที่เคยทำงานด้านที่ปรึกษาระบบไอทีให้กับหลายบริษัท เมื่อกลับเข้ามาก็เห็นว่าโครงสร้างของข้อมูลในบริษัทมีอยู่เยอะ แต่ยังไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้ดีพอ เนื่องจากระบบไม่เอื้อให้เกิดการทำงานเช่นนั้น ยังคงต้องใช้การทำงานแบบเดิมๆ ซึ่งกว่าจะเข้าถึงข้อมูลได้ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 วัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นงานแรกที่ตั้งใจทำจึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนคอขวดของข้อมูล เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่และเกิดประโยชน์มากที่สุด และระบบของออราเคิล จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ เนื่องจากความสามารถของการผสานข้อมูล ด้วยโซลูชั่นของออราเคิลที่โดดเด่นในการใช้โครงสร้างเดียวกัน ทั้งในส่วนของระบบเดิมภายในบริษัท (On Premise) ที่ยังคงต้องใช้งานอยู่ ผสานกับระบบ On Cloud ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาคอขวดของข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้เมื่อต้องการสลับระบบเพื่อให้ได้ตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญเมื่อเทียบรายจ่ายกับสิ่งที่ได้รับซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายเดิมลงได้มากกว่า 50% เพราะระบบคลาวด์สามารถจ่ายตามความต้องการใช้งานจริงได้
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ เริ่มขึ้นในราว 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยมีการวางระบบสำรองเข้าสู่คลาวด์ ในโซลูชั่น Oracle Database Cloud Services และวางระบบ BI (Business Intelligence) ด้วยโซลูชั่น Business Intelligence Cloud Services เพื่อช่วยในการนำข้อมูลเข้ามาวิเคราะห์ให้สามารถเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่รายงานจะต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการดำเนินการก็เปลี่ยนมาเป็นทำรีพอร์ตออกได้ทันทีที่ต้องการ ทำให้การวางนโยบายธุรกิจ หรือวิเคราะห์จุดขาย ซึ่งตู้บุญเติมมีจุดเด่นที่การกำหนดจุดวางตู้เป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลให้ยอดการเติมแต่ละตู้เหนือกว่าคู่แข่ง สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
และทำให้ฟอร์ท สมาร์ท (FSMART)สามารถเปลี่ยนกระบวนการจากเดิมที่เป็นการทำงานตามคู่มือมาเป็นระบบใหม่ที่ทำให้การจัดทำรายงานเชิงวิเคราะห์รูปแบบใหม่ปราศจากความผิดพลาดและช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างทันท่วงทีเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยให้ทีมผู้บริหารสามารถดูรายงานจากสาขาต่างๆ และเปรียบเทียบการกระจายสินค้าในตลาดกับคู่แข่งได้จากการใช้ Oracle Business Real Time Analyticsข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องในการทำกลยุทธ์ในการลงทุน
นอกจากนี้การนำ Oracle Database-as-a-Service (DBaaS) ยังช่วยลดต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership) ลงได้ถึง 50% จากค่าฮาร์ดแวร์และลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และยังลดค่าใช้จ่ายด้านระบบสารสนเทศจากการสร้างงานแบบอัตโนมัติ และช่วยลดการใช้แรงงานให้กับทีมสร้างแบบจำลองข้อมูลได้ถึง 75% เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลเชิงลึกที่วิเคราะห์ได้จากปริมาณทรานเซ็กชั่นกว่า 2 ล้านต่อวันได้ทันที และทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ในรูปแบบการใช้งานที่ง่ายขึ้น ซึ่งจากเดิมกระบวนการนี้เคยใช้เวลาถึง 2 วัน
ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานจากการที่ทีมการตลาด ทีมพัฒนาธุรกิจและทีมการเงิน สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนกตนได้แบบเรียลไทม์ทำให้พวกเขาตระหนักและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นว่าจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้อย่างไร
และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะดึงบริการเซิร์ฟเวอร์ การจัดการคีออส และเอเจนต์เว็บเซอร์วิสต์ ขึ้นมาอยู่บนคลาวด์ทั้งหมด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลของเอเจนต์ที่มีอยู่กว่า 200 รายทั่วประเทศได้ทำงานสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งระบบคลาวด์สามารถยืดหยุ่นปริมาณได้ตามความต้องการใช้งานทำให้ค่าใช้จ่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องจ่ายเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ตามปริมาณการเพิ่มขึ้นของจำนวนตู้ เมื่อเรารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดขึ้นบนคลาวด์ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 52% หากในอนาคตต้องการเพิ่มก็แค่จ่ายเพิ่มในส่วนที่ต้องการเท่านั้น
สิ่งสำคัญคือการบริหารดาวน์ไทม์ หรือความเสถียรของสัญญาณ เนื่องจากเราเป็นผู้ให้บริการเติมเงินซึ่งต้องมีเรื่องสัญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นโครงสร้างหลัก หากเกิดดาวน์ไทม์ขึ้น 1% เท่ากับรายได้หาย 1% ทันที ปัจจุบันเรามีดาวน์ไทม์เฉลี่ยที่ 10% ซึ่งคาดว่าการใช้ออราเคิลในระยะยาวจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นเพื่อลดดาวไทม์ลงได้
โซลูชั่นดี ช่วยขยายต่างประเทศได้ไว
เราตั้งเป้าขยายบริการไปอีก 3 ประเทศในภูมิภาค ทั้งอินโดนีเซีย พม่า และฟิลิปปินส์ ซึ่งในพม่า เราเริ่มมีตู้ออฟไลน์เข้าไปศึกษาตลาดอยู่ ขณะที่ฟิลิปปินส์มีตู้แล้วหลักพันตู้ และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าสนใจ มีคนระดับล่างเยอะ ซึ่งคาดว่าถ้าเข้าให้บริการได้จะเพิ่มรายได้ขึ้น 4-5 เท่า ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเจรจากับพาร์ทเนอร์
คาดว่าจะสามารถเข้าให้บริการได้ในราวไตรมาส 4 โดยตั้งเป้าว่าจะขยายได้กว่า 1 แสนตู้ภายระยะเวลา 1 ปี ด้วยความสามารถของโซลูชั่นออราเคิลที่พร้อมจะยกโมเดลในประเทศไทยเข้าสวมระบบได้ทันที ทำให้เราไม่ต้องลองผิดลองถูกในการสร้างรูปแบบการตลาดใหม่หลังจากปรับตัวได้แต่อย่างใด
อีกทั้งในอนาคตเราเริ่มมองที่การทำ E-Wallet มากยิ่งขึ้น โดยจะผสานกับการขายสินค้าในตู้บริการสินค้า ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านมือถือเพื่อให้จ่ายค่าสินค้านั้นได้ทันที นอกจากนี้ยังจะสามารถซื้อขายสินค้าออนไลน์ในระบบ อีคอมเมิร์ช ได้ผ่านตู้บุญเติมภายใต้แพลตฟอร์ม E-Wallet ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองใช้ภายใต้แบรนด์ Be Wallet และในอนาคตยังตั้งเป้าขายประกันผ่านตู้ การโอนเงิน ได้อีกด้วย