ผลการศึกษาจากทั่วโลกของ Pure Storage ชี้ว่า Digital Transformation ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลา 12เดือนที่ผ่านมา ประมาณครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทย ได้ย้ายระบบงานจากบริการคลาวด์สาธารณะกลับสู่ศูนย์ข้อมูลภายใน แต่ธุรกิจกลับกำลังเผชิญกับการเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับองค์กร
Pure Storage (NYSE: PSTG) ผู้นำทางด้านแพลทฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลแบบออลแฟลช(all-flash) สำหรับยุคคลาวด์ได้ประกาศถึงผลการศึกษา Evolutionซึ่งเป็นผลสำรวจในงานวิจัยระดับโลกพบว่าเกือบ 60% ของธุรกิจไทยนั้นเริ่มสร้างรายได้เกินกว่าครึ่งจากบริการที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ที่ 46% อยู่มากทีเดียว ส่งสัญญาณที่ดีของการทำ Digital Transformation ในประเทศไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางวาระของการปฏิรูปประเทศและการพัฒนาไปสู่ประเทศไทย 4.0 เหล่าธุรกิจต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนักในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) และ Machine Learning เพื่อเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลักไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางแทน
ในงานวิจัย Evolution 2017 ซึ่งเป็นการสำรวจอิสระที่มุ่งสำรวจความคิดเห็นจากเหล่าผู้นำทางด้านไอทีภายในองค์กรกว่า 9,000 แห่งทั่วโลก (3,000 แห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น; 200 แห่งในประเทศไทย)
พบว่า 62% ของธุรกิจในประเทศไทยกำลังมองหาบริการดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเดิม และสามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้แก่ธุรกิจได้ ขณะที่ 60% เชื่อว่าบริการแบบดิจิทัลสามารถช่วยเร่งให้ธุรกิจของตนเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และยังสามารถแข่งขันในตลาดได้อีกด้วย
ในยุคสมัยของความตื่นตัวทางด้านดิจิทัลนี้ ธุรกิจในประเทศไทยก็ยังคงไม่แน่ใจว่ากลยุทธ์ด้านไอทีที่เหมาะสมที่สุดในการนำธุรกิจของตนไปสู่การเป็นธุรกิจแบบดิจิทัลนี้ควรจะเป็นอย่างไร และใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบในบทบาทเหล่านี้
สาระสำคัญจากงานวิจัย ของ Pure Storage
- โดยเฉลี่ย ธุรกิจในประเทศไทยมีการใช้งานระบบแอพพลิเคชั่นบนศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรถึง 36% สูงกว่าการใช้งานบริการคลาวด์สาธารณะ (28%), บริการ SaaS (22%) และบริการไปรเวทคลาวด์ (19%)
- บริการคลาวด์สาธารณะยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตในประเทศไทยอยู่ โดย 66% ของธุรกิจในไทยมีแผนที่จะใช้งานบริการคลาวด์สาธารณะมากขึ้นใน 18-24 เดือนข้างหน้า ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่ 54%, ค่าเฉลี่ยของยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่ 58% และอเมริกาเหนือที่ 69%
- แม้ว่าแนวโน้มการใช้งานบริการคลาวด์สาธารณะจะเติบโต แต่ 48% ของธุรกิจไทยที่มีการใช้งานบริการคลาวด์สาธารณะในเวลานี้ก็ได้มีการย้ายระบบบางส่วนหรือทั้งหมดกลับมายังศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรโดยมีสาเหตุทางด้านความมั่นคงปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง (43%)
- 66% ของธุรกิจไทยที่สร้างรายได้เกินกว่าครึ่งมาจากบริการแบบดิจิทัลนี้คาดหวังว่าจะใช้ศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรเพื่อขยายระบบภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
- มีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากของการทำ Digital Transformation ในระดับองค์กร โดย 79% ของแผนก IT ในธุรกิจไทยได้รายงานถึงการสูญเสียความสามารถในการชี้นำเพื่อเลือกใช้งานเทคโนโลยีสำคัญภายในองค์กรของพวกเขาไป ขณะที่แผนกอื่น เช่น แผนกบริหารจัดการผลิตภัณฑ์, แผนกบริการลูกค้า และแผนกการตลาดกลับมีอำนาจในการชี้นำตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นายจัว ฮก เล็ง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนและไต้หวันแห่ง Pure Storage กล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่า Digital Transformation ในไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างที่ไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป เพราะกลายเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะส่งผลต่อทุกธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคในอีกไม่กี่ปีจากนี้ นั่นทำให้ธุรกิจทั้งหมดต้องย้อนกลับมาพิจารณากันใหม่ว่าจะรวบรวมและใช้ข้อมูลอย่างไรและเมื่อใด”
“ความได้เปรียบที่เคยเกิดขึ้นจากบริการคลาวด์สาธารณะไม่สามารถสร้างความแตกต่างเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว และธุรกิจทั้งหลายก็ต้องทำความเข้าใจว่าจะใช้งานระบบนิเวศน์ของข้อมูลทั้งหมด – ทั้งบนคลาวด์และภายในศูนย์ข้อมูลของตน – เพื่อนำข้อมูลมาใช้งานและค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์แก่ลูกค้าได้อย่างไร”
รายงานผลสำรวจ Evolution 2017 ยังได้กล่าวถึงประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบระหว่างความแตกต่างระหว่างประเทศภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นเอาไว้ดังนี้อีกด้วย:
- อินโดนีเซียเป็นผู้นำด้านการทำ Digital Transformation ภายในภูมิภาค ด้วยจำนวนธุรกิจกว่า 70% ที่สามารถสร้างรายได้เกินกว่าครึ่งจากบริการดิจิทัล ตามมาติดๆ ด้วยมาเลย์เซีย (62%), ไทย (58%) และออสเตรเลีย (57%)
- แนวโน้มของการที่ภาคธุรกิจย้ายระบบงานจากบริการคลาวด์สาธารณะกลับมาสู่ศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่ 78% ของธุรกิจในเวียตนามเองก็ได้ย้ายระบบงานจากบริการคลาวด์สาธารณะกลับมาสู่ศูนย์ข้อมูลภายในองค์กรเช่นกัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น
- ความมั่นคงปลอดภัยถือเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของบริการคลาวด์สาธารณะสำหรับเหล่าธุรกิจในสิงคโปร์ (67%), ตามมาด้วยการประหยัดค่าใช้จ่าย (33%) และประสิทธิภาพ (27%)
- บริษัทในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ยังคงอยู่กึ่งกลางระหว่างการเลือกใช้บริการคลาวด์โดย 50% ของเหล่าธุรกิจได้วางแผนที่จะย้ายระบบงานที่สำคัญสูงสุดต่อธุรกิจไปยังบริการคลาวด์สาธารณะภายใน 18-24เดือนนับจากนี้ ในขณะที่ธุรกิจที่เหลือนั้นมีแผนที่จะใช้โซลูชั่นระบบไปรเวทคลาวด์