ดีแทคอัดงบกว่า 12 ล้านบาท เปิดตัว Ai Lab ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต พร้อมดึงคณาจารย์ และนักศึกษา ร่วมพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ตั้งเป้าเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ให้เกิดโอกาสทางการศึกษาและระดมสมองเรื่องปัญญาประดิษฐ์ในทุกแขนงความรู้ อวดตัวอย่างแอปพลิเคชั่นใช้ Ai เพิ่มยอดขายให้ดีแทคได้กว่า 30%
ดร. อุกฤษ ศัลยพงษ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ช่องทางการขายและบริหารการบริหารผลการปฏิบัติงาน ดีแทค เปิดเผยผ่านการจัดงานทอร์ค “ดีแทคลูป : อนาคตต้องการคุณ ” ครั้งแรกของ AI Lab ว่า ดีแทคให้ความสนใจกับAI เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่มีอยู่ โดยลูกค้าดีแทคสร้างชุดข้อมูลจำนวน 1 พันล้านชุดต่อวัน ซึ่ง 75% ของลูกค้าเป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน
โดยปัจจุบันดีแทคใช้แชทบอทในการตอบคำถามของลูกค้า โดย 20% ผ่านทาง Facebook และ 30% ผ่านทาง SMS ซึ่งมีอัตราความถูกต้องของการตอบสนองสูงถึง 80% และยังใช้ AI สำหรับการแนะนำในแอปพลิเคชั่น ‘dtac’ ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายในปัจจุบันได้ถึง 30%
สอดคล้องกับข้อมูลของ Accenture ที่ระบุว่า “65% ของลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกหรือร้านค้าออนไลน์ที่มีประวัติการซื้อของพวกเขา” ซึ่งเทคโนโลยี AI จะมีส่วนช่วยในการบันทึกข้อมูลเหล่านี้ เช่นการจดจำใบหน้า”
ด้าน ศ. ดร. ธนารักษ์ ธีระมั่นคง อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้เครื่องจักรแห่งโลกอนาคต จะต้องมีความรู้ความชำนาญไม่ใช่แค่เพียงด้านการเขียนโค้ดเท่านั้น แต่ยังต้องการค้นหาวิธีใหม่ในการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง ค้นหาวิธีที่เราจะสามารถสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นของประเทศไทย
ในอนาคตอันใกล้ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ การประมวลผลภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ(NLP) จะเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดย NLP ประกอบด้วย (1) ประมวลผลข้อความขาเข้า (2) เข้าใจพวกเขาและ (3) การตอบกลับตามบริบทอย่างเป็นธรรมชาติ
แอปพลิเคชันที่คนในปัจจุบันให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือ แชทบอท ซึ่งแชทบอทที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริงควรมีหน่วยความจำและความสามารถในการเชื่อมต่อเรื่องราว ทราบบริบทแวดล้อม รวมถึงสถานการณ์โลก
และอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่น่าสนใจคือความสามารถของ AI ในการกรองข้อมูลจำนวนมหาศาลได้เร็วกว่ามนุษย์ ในแต่ละปีมีบทความทางวิชาการ 2.5 ล้านเล่มถูกตีพิมพ์ทั่วโลกซึ่งการสรุปผลงานวิจัยเป็นงานที่ยากและกระบวนการอัตโนมัติจะช่วยให้เราสามารถค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างบทความและเชื่อมโยงกันได้
ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาล AI ยังสามารถช่วยตรวจสอบข่าวปลอมหรือสนับสนุนการป้องกันภัยพิบัติ และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา
คือการถ่ายทอดความรู้และทักษะอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านวิธีและกระบวนการที่จะทำให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้ในตนเอง มีแรงจูงใจในตนเองและพฤติกรรมที่จะนำความรู้นั้นไปใช้อย่างเหมาะสม แทนการประมวลผลเพียงแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น
dtac SIIT AI Lab ช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงนักศึกษากับข้อมูลในโลกแห่งความจริงเพื่อส่งเสริมให้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลรุ่นใหม่เข้าใจเหตุการณ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจริง โดยAI Lab จะเป็นสถานที่สำหรับทุกคนที่ไม่เพียงแต่ผู้สอนจะสามารถสอนผู้เรียนได้เท่านั้น แต่นักศึกษายังสามารถเรียนรู้จากกันได้อีกด้วย
ด้านนางนาฎฤดี อาจหาญวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล ดีแทค กล่าวว่า Machine Learning ได้เปลี่ยนแปลงการทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิงการพัฒนาบุคลากรโดยดึงศักยภาพจากจุดแข็งของพนักงาน จะสามารถส่งเสริมให้เกิดความสามารถแบบดิจิทัลในองค์กรขนาดใหญ่ได้
ข้อมูลของ McKinsey ระบุว่าบริษัทปัจจุบันกว่า 50% ได้ใช้เทคโนโลยี AI หรือกำลังทดลองใช้ ซึ่ง AI จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงาน โดย AIจะเข้ามาแทนที่งานบางอย่าง และสร้างงานบางอย่างด้วย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งที่ได้รับการประกันได้ในปีต่อๆไปคืออัตราการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ที่ดีแทคเรามีความท้าทายถึงสองอย่างที่เกิดขึ้นจากAI คือการเปลี่ยนผ่านธุรกิจของเราและเปลี่ยนคนของเรา การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของพนักงานกว่า 4,000 คนไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้ระยะเวลานานแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆในประเทศไทยที่มีพนักงานเพียงหลักสิบหรือหลักร้อยคน
ขั้นตอนแรกสำหรับดีแทคคือการแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงแบบดิจิทัลมาจากผู้คน ปัญหาอะไรที่ลูกค้าหรือตัวคุณเองกำลังเผชิญอยู่ คุณสามารถสร้างสมมุติฐานได้หรือไม่คุณสามารถสร้างต้นแบบด้วยปากกาและกระดาษและทดสอบกับคนจริงหรือไม่
คุณสามารถทำงานกับคนนอกสาขาของคุณเพื่อพัฒนาโครงการของคุณได้หรือไม่คุณมีความเป็นผู้ประกอบการเพียงพอที่จะขับเคลื่อนการริเริ่มเช่นนี้หรือไม่คุณจะยอมรับกับความล้มเหลวได้หรือไม่
ในการสนับสนุนพฤติกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นในองค์กรดีแทคได้เปลี่ยนวิธีการประเมินผลงานและให้ผลตอบแทนพนักงานโดยมุ่งเน้นสิ่งที่พนักงานต้องการ ดีแทคให้พนักงานได้เรียนรู้สิ่งที่พวกเขาสนใจลดการประเมินผลงานประจำปีที่ขึ้นอยู่กับ KPIs รวมถึงช่วยให้พนักงานพัฒนาศักยภาพจากจุดแข็งของตนเอง
การเปลี่ยนแปลงการทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ AI คือองค์กรต่างๆจะยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น องค์กรยังสามารถยึดพนักงานเป็นศูนย์กลางได้อีกด้วย กล่าวคือเป็นการกระจายอำนาจในองค์กร ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้านายและลูกน้องให้พนักงานเป็นเจ้านายตนเอง
ในสถานที่ทำงาน คนมีส่วนร่วมกับคนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องขนาดใหญ่พวกเขาไม่สามารถถูกแทนที่ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาสามารถแข่งขันกับ AI ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเป็นมนุษย์ของพวกเขา
และในอนาคตเราจำเป็นต้องมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้เครื่องจักรหลายอย่างเพื่อสนับสนุนธุรกิจของเรา แต่การสร้างองค์กรที่พร้อมสำหรับ AI ไม่ใช่แค่การจ้างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าพนักงานและโครงการต่างๆ
ด้านดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย Group Data Scientist เทเลนอร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง AI แบบแชทบอทในชื่อ ‘บอทน้อย‘ ที่คนไทยรู้จักและใช้มากที่สุด กล่าวว่า สิ่งที่กำลังเป็นที่ต้องการมากที่สุดในขณะนี้ คือการนำผู้เชี่ยวชาญชั้นนำที่มีความสามารถมาช่วยแก้ปัญหาสังคม
องค์การสหประชาชาติต้องการครูมากขึ้นทั่วโลก 69 ล้านคนในปี 2573 และองค์การอนามัยโลกก็ต้องการบุคลากรทางด้านการแพทย์และสุขอนามัยอีกมากกว่า 12.9 ล้านคน ดังนั้นเราจึงต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อมาปิดช่องว่างดังกล่าว
แม้ว่าจะมีคำถามมากมาย เกี่ยวกับจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มีจำนวนจำกัด แต่ก็ยังมีคำถามที่เหมือนกันมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ดีแทคมีตัวอย่างคำถามถึง 2,000,000 คำถามผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งพบว่าเราสามารถตอบคำถามได้เพียง 5,000 คำตอบความท้าทายคือ ไม่ใช่การตอบ 5,000 คำตอบ
แต่เป็นความยากของการจับคู่ 200,000 คำถามให้เข้ากับ 5,000 คำตอบ ที่เราเรียกว่า การรวบรวมทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน ปัญญาประดิษฐ์ต้องทำความเข้าใจในการเชื่อมโยง คำถามที่มีจำนวนมากมายมหาศาลมาตอบคำถามที่มีอยู่จำกัด สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ต้องทำความเข้าใจคือ สองคำถามที่ดูต่างกันแต่ความหมายจะเหมือนกัน
จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปัญญาประดิษฐ์จึงสำคัญและเป็นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับประชากร ยกตัวอย่างเช่น แรงงานข้ามชาติ ผู้สูงอายุ หรือเด็ก ประชากรเหล่านี้ มีทักษะความรู้ ความเข้าใจน้อย
และพูดภาษาสแลงหรือหรือสำนวนที่ใช้พูดเข้าใจกันเฉพาะกลุ่ม การสะกดคำผิด หรือมีทักษะความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ดีพอ ทำให้เกิดความยากลำบากในการสร้างองค์ความรู้ ที่ผู้เชี่ยวชาญหรือแม้แต่ปัญญาประดิษฐ์จะสามารถสื่อสารกับคนเหล่านี้ได้
แชทบอทสามารถตอบคำถามง่ายๆได้อย่างรวดเร็ว มากกว่านั้นแชทบอทยังไม่มีอคติในการคุยกับมนุษย์ และยังแสดงความรู้สึกเข้าใจเห็นใจได้มากกว่ามนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลของการสร้าง บอทน้อย ที่มีผู้ติดตาม 1.2 ล้าน
และ 10 คนที่เข้ามาใช้งานต่อวัน บอทน้อยพูดได้หลากหลายภาษา เข้าใจคำสแลง และคำพูดประชดประชัน หรือถากถาง มีบริบท ความจำ ความเข้าอกเข้าใจ ที่สร้างให้บอทน้อยเป็นแชทบอทที่เก่งกาจ
ดังนั้นบอทจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังพอที่จะช่วยเหลือสังคม นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เราเปิดตัว โปลิศน้อย ซึ่งเป็นความร่วมมือในโครงการ ดีแทคพลิกไทย จากผลสำรวจ 85% ของเยาวชนในไทยถูกภัยคุกคาม โปลิศน้อยสามารถช่วยเหยื่อผู้หญิง และเด็กที่ถูกคุกคาม
โดยให้คำแนะนำอย่างเป็นมิตร โดยที่เหยื่อไม่ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และไม่ต้องไปเจอกับการถูกสอบสวนจากผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมในเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
ปัญญาประดิษฐ์เป็นโอกาสในอนาคต ไม่ใช่ภัยคุกคามที่น่ากลัว ปัญญาประดิษฐ์ช่วยมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญ ช่วยเหลือผู้คนและสังคม ปัจจุบันมีแพทย์ 0.47 คนต่อประชากรไทย 1,000 คน ในการเรียนมีครูเพียง 1 คนสอนเด็กในห้องถึง 50 คน
เราไม่ต้องการมาแทนผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ แต่เราต้องการความช่วยเหลือ AI Lab แห่งใหม่นี้ เป็นความหวังของดีแทคและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จะช่วยสร้างคนรุ่นใหม่ ทางด้าน data scientists และ ผู้เชี่ยวชาญ Machine learningมาร่วมกันสร้าง AI ที่เราสามารถช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย
ทั้งนี้ AI Lab เปิดจากความร่วมมือ ระหว่างดีแทค และ SIIT ด้วยงบประมาณกว่า 12 ล้านบาท โดยดีแทคจะมีนักวิจัยชั้นนำที่จะเป็นโค้ชในการพัฒนาอัลกอริทึมและ AI เพื่อจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจ
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจาก SIIT และนักศึกษาจะได้ทำงานกับกรณีศึกษาจริงทางธุรกิจ เพื่อฝึกทักษะและใช้ AI ในระดับต่อไป และประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการจัดหาแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมใน AI เพื่อสนับสนุนวาระการประชุมระดับชาติ