แอดไวซ์ ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีชั้นนำ นับเป็นกลุ่มกิจการร้านค้าแรกๆที่เริ่มใช้งานระบบคลังสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้วันนี้ แอดไวซ์ กลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลจากการใช้ดาต้าภายใน กอปรกับข้อมูลภายนอกจาก จีเอฟเค ซึ่งเป็นแนวโน้มตลาด จนสามารถเติบโตได้ แม้ว่ายุคนี้สินค้าไอทีจะมีการเติบโตน้อยและมาจิ้นของกำไรต่ำก็ตาม
นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลที่เรามีทำให้เห็นว่า คนเริ่มเข้าใจในเงื่อนไขของการซื้อคอมพิวเตอร์ด้วยประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ทิศทางการซื้อมีการเลือกใช้และถามหา เครื่องประกอบมากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อเข้าใจความต้องการของตนเอง และมีความเฉพาะตัวในการใช้งาน
เห็นได้จากชิปเซ็ตของเอเอ็มดีเริ่มเติบโตมากขึ้น จากการตอบสนองตลาดเล่นเกม ด้วยราคาที่เข้าถีงได้ มีคนเริ่มมองสเปกการ์ดจอมากขึ้นเมื่อต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ โดยตลาดโน้ตบุ๊คเพิ่มจาก 15% เพิ่มขึ้นเป็น 20% จากข้อมูลครึ่งปีแรก แต่กระนั้นทุกค่ายก็ยังใช้สเปกเดิมในการทำตลาดในครึ่งปีหลัง
ภาพรวมของตลาด เราก็ยังคาดหวังให้รัฐบาลออกนโยบายบางอย่าง เพื่อกระตุ้นการซื้อในจุดที่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ทั้งการสอนทางไกลและไอซีทีชุมชน โดยช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีโครงการอยู่แล้วแต่ก็มีการสะดุดของงบประมาณของปี 2562-2563 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น
ขณะที่ตลาดคอนซูเมอร์ ในส่วนของโน้ตบุ๊คธรรมดาจะไม่โต แต่โน้ตบุ๊คเกมมิ่งโต โดยในปี 2561 มูลค่าตลาดรวมทั้งพีซีและโน้ตบุ๊กราว 3 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งคาดว่าโน้ตบุ๊คจะโตกว่าพีซี แต่ภาพรวมยังเติบโตติดลบราว 4-5% (ข้อมูลจาก จีเอฟเค)
ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย เนื่องจากเราถือว่าเป็นไฮบริด ที่มีทั้งการจำหน่ายออนไลน์และออฟไลน์ อีกทั้งยังมีทั้งการขายส่งและขายปลีก โดยช่วงปีที่ผ่านมาเราขายส่งอยู่ราว 65% ขายปลีก 35% โดยเราตั้งเป้าว่าจะขยับสัดส่วนขึ้นเป็น 50:50 ซึ่งครึ่งปีแรกเรามีสัดส่วน 51: 49 คาดว่าปีนี้จะทำได้ตามเป้าได้สำเร็จ
ปัจจุบันตลาดสินค้าไอทีเริ่มดรอปลง ทำให้เราเริ่มโฟกัสที่การขายปลีกมากขึ้น โดยเริ่มปรับปรุงร้านจำหน่ายราว 20 ร้านค้า เพื่อรองรับการขายปลีกที่มากขึ้น ด้วยปัจจุบันเรามีสาขาอยู่ราว 111 สาขา อยู่ในตัวจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดยะลา ซึ่งแนวการจัดร้านเริ่มเข้าสู่ธีมเกมมิ่งมากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีส่วนของร้านเฟรนไชน์ตามอำเภอราว 300 ร้านค้า ที่คาดว่าจะเริ่มรีโนเวตเช่นกัน แต่กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับยอดขายของร้านเฟรนไชน์ว่าจะพร้อมรองรับการรีโนเวตหรือไม่
สาขาในกรุงเทพฯเรามีอยู่ 11 สาขา และต่างจังหวัด 100 สาขา คาดว่าจะเปิดเพิ่มในกรุงเทพ ซึ่งคาดหวังพื้นที่ในเซ็นทรัลพระราม 2 และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า แต่ยังหาพื้นที่ไม่ได้ จึงยังสามารถทำได้เพียงการร่วมกับพาวเวอร์บาย ในหลายพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในส่วนของการขายออนไลน์ที่เราทำขึ้นมาได้ 2 ปีแล้วนั้น เราเติบโตขึ้นมาต่อเนื่องจนครึ่งปีนี้มาอยู่ที่ราว 12% จากยอดขายของครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 6,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นสัดส่วนราว 30% และคาดว่าจบปีจะสามารถสร้างยอดขายในส่วนของออนไลน์ได้ราว 14-15% จากยอดขายทั้งปี คาดว่ายอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ราว 13,000 ล้านบาท
บรรยาการของหน้าร้าน ด้วยการบริการหน้าร้านและบริการหลังการที่ยกระดับเข้าสู่การบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแยกส่วนของงานซ่อมออกจากกัน เนื่องจากเรามีบริการหลังการขายให้แบรนด์อื่นๆด้วย การจัดของหน้าร้าน ขณะที่ในส่วนของหลังบ้านเรามีระบบการตัดสต็อกเมื่อชำระเงินทันที ซึ่งนับเป็นผู้จำหน่ายรายแรกที่ทำข้อมูลแบบทันที ทำให้เราสามารถรู้ยอดขายและวิเคราะห์กลยุทธ์การขายได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการขายปลีกที่เพิ่มขึ้น
โดยแคมเปญในช่วงครึ่งปีหลัง มีการจัดแคมเปญอีสปอร์ต เพื่อกระตุ้นความต้องการด้านเกมมิ่งมากขึ้น อีกทั้งยังมีเอ็นยูสเซอร์โปรแกรมเข้ามาเสริม เพื่อกระตุ้นกลุ่มนิวเจนให้เริ่มรู้จักแอดไวซ์มากขึ้น ตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาจนถึงเริ่มทำงาน มีการจัดงบประมาณราว 40 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการขายออกเป็น 3 ส่วน โดยเป็นส่วนของออฟไลน์ ออนไลน์ และส่วนกิจกรรม แยกออกจากส่วนของการรีโนเวตร้านค้ากว่า 20 ร้านค้าด้วยงบราว 30 ล้านบาท (1.5 ล้านบาทต่อร้านค้า)
เรามีการใช้งาน Big Data ภายในมาวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ โดยใช้ BI (Business Intelligence) จากไมโครซอฟท์ ในการพยากรณ์การขาย การวางกลยุทธ์เชิงรุก ตลอดจนการวางแคมเปญการส่งเสริมการขาย และการจัดการสต็อกสินค้า อีกทั้งยังมีการใช้ข้อมูลภายนอกประกอบ (ข้อมูลจากจีเอฟเค)แต่กระนั้นยังอยู่ในเพียงขั้นของการคาดการณ์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ 5-6 คนเท่านั้น ยังไม่ถึงขึ้นการทำงานอัตโนมัติ และยังมีการแยกข้อมูลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ออกจากกัน เพื่อทำตลาดที่ชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ในปีหน้าเราจะขยายไปในส่วนของลูกค้าอินโดไชน่ามากขึ้น เนื่องจากร้านค้าแนวชายแดนเริ่มมีการจำหน่ายให้ลูกค้าที่ข้ามพรมแดนเข้ามาซื้อมากขึ้น โดยวางเป้าที่จะขยายสาขาเข้าไปสู่กลุ่มประเทศอินโดไชน่ามากขึ้น นอกจากลาวที่เรามีสาขาเฟรนไชน์แล้วกว่า 25 สาขา และคาดว่าเราจะสามารถทำการเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จราวไตรมาส 3 ของปีหน้า