มุมมองของหนึ่งในผู้ก่อตั้ง The Stanford Thailand Research Consortium รายแรก ที่นับเป็นการจุดประกายให้เกิดแนวทางการวิจัยแบบโครงการในครั้งนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าโครงการนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเอพี ไทยแลนด์ แต่เป็นส่วนต่อขยายที่มีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนา ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน หรือ SEAC ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเชื่อมต่อ Consortium ไปสู่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ย้อนกลับไปตอนที่ปรึกษากันเกี่ยวกับความร่วมมือกันในครั้งนี้ กับพอล มาร์คา ผู้บริหารระดับสูง Stanford Center for Professional Development (SCPD) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา เราค้นพบว่าเวลาหารือที่ปรึกษา (Consult) เรามักจะชอบใช้คำว่า ตัวอย่างที่ดีที่สุด (Best Practice) คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งจะถูกนำไปใช้ทันที แต่ในปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกวันผมจึงคิดว่า Best Practice ไม่ควรถูกนำมาใช้อีกต่อไป
สิ่งที่ควรทำคือเราต้องศึกษาและนำมาปรับใช้เองเลย ตัวอย่างเช่น Innovative Culture ที่ทาง พอล ทำคือส่งนักศึกษาปริญญาเอก 1 คนมาอยู่ที่เอพี ไทยแลนด์ เป็นเวลา 5 เดือน เพื่อทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมขององค์กร โดยสิ่งที่เกิดขึ้นคือนักศึกษาปริญญาเอกคนนี้ ได้ออกไปใช้ชีวิตหลังเวลางานร่วมกับพนักงานของ AP ด้วย เมื่อถูกถามก็ได้ให้เหตุผลว่า การศึกษาวัฒนธรรมองค์กรจะต้องศึกษาการใช้ชีวิตของพนักงานหลังเวลาเลิกงานด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าพนักงานคนหนึ่งในองค์กรมีรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างไร เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานด้วย
สำหรับในยุคนี้ อสังหาริมทรัพย์เป็นยุคข้าวยากหมากแพง ซึ่ง AP คิดว่าเราทุกคนต้องปรับตัวตลอดเวลา โดย AP ไม่ต้องปรับตัวมากเพราะเราเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ซึ่งหากมองเศรษฐกิจในตอนนี้ เรามองว่ายังแข็งแรงอยุ่เพราะหากเทียบกับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นยุคระเบิดปรมาณูทั้งเศรษฐกิจของประเทศ ธนาคารไม่มีการปล่อยเงินกู้ แต่ตอนนี้จะคล้ายๆ กับยุคแฮมเบอเกอร์ในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมันเป็นการปรับตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไซเคิลมากกว่าแต่เป็นการปรับตัวที่ดีมาก
ทุกธุรกิจระวังตัวในการลงทุนและขยายองค์กรกันพอสมควร โดยเราเตรียมตัวตั้งแต่ในยุคปี พ.ศ. 2540 โดยเราจะไม่ให้มีหนีสินขาดทุนประมาณ +/- 1 ไม่เกินนั้น อาทิ ถ้าปัจจุบันเราจะซื้อที่ดินเฉพาะเวลาที่เรามีรายได้ โดยเราโฟกัสที่ performance ของบริษัทฯ มากกว่าหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งเชื่อมั่นว่าถ้า Performance ดี รายได้ก็จะเข้ามา พร้อมทั้งเรายังมีการรักษาสมดุลทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมให้เท่าๆ กัน
นอกจากนี้ เรายังให้การศึกษาพนักงานของเราเพิ่มขึ้น ทำให้พนักงานเกิดการเทิร์นโอเวอร์น้อย โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งโปรโมทคนในองค์กรขึ้นมาทดแทนในส่วนที่ขาดไป และพัฒนาศักยภาพคนของเราขึ้นมาเพิ่ม เราไม่สามารถตอบได้ว่าภาวะการผันผวนเช่นนี้จะอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน แต่เราต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งเอพีมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งพอและพร้อมที่จะเติบโตเมื่อมีโอกาส ด้วยเหตุผลจากเงินบาทแข็ง และความพร้อมของเอกชนในทุกภาคอุตสาหกรรม
การเข้าสู่ยุคดิจิทัลเราจะเห็นการพัฒนาคนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องเสริมเรื่อง Digital marketing / Data Analytic / Outward Mindset ต้องเปลี่ยนมุมมองในการทำงานเพื่อพัฒนาอค์กร ซึ่งสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของเอพี และสุดท้ายคือ Design Thinking คือการมองหาเครื่องมือ หรือวิธีการเพื่อสร้างของใหม่ขึ้นมา สุดท้ายพนักงานคนกลุ่มหน้าบ้านจะได้เรื่อง Digital Marketing และหลังบ้านจะได้เรื่อง Data Management
ซึ่งความร่วมมือในการจัดตั้ง The Stanford Thailand Research Consortium ในครั้งนี้ เราแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการวิจัยเรื่องแรก คือ การวิจัยรวมกัน ซึ่งในส่วนของพนักงานจะเป็นการศึกษาเพื่อค้นหาว่าเราจะต้อง Reskill และ Upskill ให้ทันความต้องการของตลาดอย่างไร ขณะที่เรื่องของบริษัทฯจะมุ่งเน้นเรื่องการวิจัย Well being เป็นหลัก โดยเฉพาะ Well being ของลูกบ้าน
สำหรับอีกกลุ่มจะทำเรื่อง Innovation Culture เป็นเรื่องการ Transform ในองค์กรให้เกิดการ Move forward ได้เร็วคืออะไร โดยมุ่งเน้นคือการเพิ่มความสุขให้กับคนในองค์กร เพราะเราเชื่อความเมื่อเกิดความสุขในการทำงาน เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารของคนในองค์กรเพราะแต่ละแผนกก็มีวัฒนธรรมในองค์กรที่ต่างกัน และเมื่อวิจัยเสร็จเราจะนำผลมาร่วมปรับองค์กร เพื่อทำให้คนในองค์กรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสุข และส่งผลให้พัฒนาองค์กรได้ดีขึ้น
เราเชื่อมั่นในการเรียนรู้ที่ดีเพื่อทำสิ่งใหม่ให้สำเร็จได้ จะต้องประกอบด้วย 1. Platform ที่ดีต้องใช้ได้และต้องโดนใจ 2. และเมื่อ Platform ได้ดีแล้ว Content ต้องดีด้วย 3. เมื่อ Platform, Content ที่ดีแล้ว Operation หลังบ้านต้องดีด้วย และสุดท้าย 4. ต้องมีคนที่มีความรู้ และ Passion ในการทำงาน
โดยการขยายไลน์ธุรกิจของเราในการสร้าง ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน หรือ SEAC(เอสอีเอซี) ซึ่งเป็นเรื่องการศึกษา ส่วน VAARI (วาริ) ซึ่งดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต และ CLAYMORE (เคลย์มอร์) ที่จะดำเนินธุรกิจสร้างและผลักดันนวัตกรรมดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ โดยพนักงานที่สร้างสินค้าใหม่ต้องมีความรู้และ Passion เราจึงต้องมีตัว “คัดสรร” ขึ้นมา
ทั้งหมดนี้ทำให้ เอพี เริ่มลงทุนตั้งแต่ Academy ประมาณ 200-300 ล้านบาท และส่วนของ SEAC เราลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเรามีพนังงานอยู่ที่ประมาณ 2,200 คน และเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งในการลงทุนการศึกษาให้กับพนักงาน เป็นการปิดช่องว่างระหว่างทักษะการทำงานที่จะต้องเปลี่ยนไปกับสิ่งที่พนักงานมีอยู่เดิม และความต้องการของบริษัทให้ตรงกัน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #1
แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #2