แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #5

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #5

ความท้าทายของธนาคารในยุคดิจิทัลเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นการเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง The Stanford Thailand Research Consortium ก็สะท้อนอะไรบางอย่างที่น่าสนใจของ ธนาคารกสิกรไทย เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รับทราบว่าโครงการซีเอสอาร์ในการพัฒนาความเป็นอยู่ในพื้นที่จังหวัดน่าน เป็นอีกหนึ่งงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการถอดรหัสความลับของการพัฒนาศักยภาพของจังหวัดน่านให้มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในการวิจัยกับโครงการ The Stanford Thailand Research Consortium มีด้วยกัน 2 ส่วน คือ 1. เราได้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ระดับความรู้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จะเป็นระดับแบบอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเขาจะนำความรู้และความสามารถต่างๆ มาช่วยเราได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง “carbon footprint” ที่ต่างประเทศตระหนักกันดี แต่ในประเทศไทยยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

อีกอย่างเลยคือทางทีมงานสแตนฟอร์ด จะลงพื้นที่แล้ววิเคราะห์สภาพแวดล้อม เช่น พืชอะไรจะได้ปลูกได้ดีที่สุดในพื้นที่นั้นๆ รวมถึงดูสภาพแวดล้อม อาทิ ประชากร เพราะโครงการรักษ์ป่าน่าน เราไม่ได้เน้นแค่ฟื้นฟูผืนป่าหรือทรัพยากรทางธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราอยากจะเข้าไปทำให้ชาวบ้านได้มีความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อนำไปพัฒนาและเปลี่ยนไปเป็นรายได้เพื่อเลี้ยงชีพด้วย

ซึ่งโครงการรักษ์ป่าน่านนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้ดำเนินการทำอยู่แล้ว แต่พอสแตนฟอร์ดเข้ามาก็คือการเอาความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญระดับอินเตอร์ของเขาเข้ามาช่วยในโครงการนี้

ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายต่อองค์กร 2 ส่วนด้วยกัน 1.Doing Good คือการทำให้ประเทศดี และขับเคลื่อนไปข้างหน้า เนื่องจากว่าธุรกิจวันนี้มันเร็วมาก โปรเจกต์นี้จะใช้เวลา 5 ปี ซึ่งจะมีการวัดผลแบบ short term ด้วย ในเชิงธุรกิจอาจจะไม่ได้สร้างรายได้เยอะ เริ่มต้นก็คือโฟกัสที่ Doing Good ทำให้ประเทศก่อน เพราะฉะนั้นโครงการน่านก็เป็นการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ป่า น้ำ มันสามารถค่อยๆพัฒนาได้ หรืออย่างเรื่องสุขภาพ คนสูงวัย ก็เป็นอีกสิ่งที่เราตระหนัก แต่ก็ยังพอมีเวลาที่จะจัดการได้ ในส่วนของธุรกิจที่จะเอา Blockchain เข้ามาใช้ ทางฝั่งกสิกรเองก็จะเริ่มคิดไปด้วยว่าจะปรับใช้อย่างไร

และ 2.Doing Well คือทำให้บริษัทดี มีการมองการณ์ไกลว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจจะเป็นเรื่องของ Innovation เกี่ยวกับเรื่องของสตาร์ทอัพของทาง Kbank ที่เราลงทุนอยู่หรือดูแลอยู่ จะใช้เทคโนโลยีอะไรมาช่วยให้พวกเขาโตขึ้น ซึ่งสแตนฟอร์ดค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic)เช่นนี้ ซึ่งในการไปข้างหน้าของทุกๆองค์กร ต้องมีความพยายามที่จะสร้างประเทศไปด้วย และสำหรับ Kbank ไม่ใช่แค่การตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่เราตอบแทนต่อสังคม และสร้างสังคมไปด้วย

นอกจากนี้ยังให้สแตนฟอร์ดเข้ามาช่วยโครงการ Chula Care ที่ทำร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาในการเช็กสิทธิ์รักษาพยาบาลของผู้ป่วยอยู่แล้ว ให้สามารถต่อยอดและพัฒนาไปสู่ผู้สูงวัย สอดรับกับการจะเข้าสู่ยุค Eaging Society ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการจัดการที่ดีขึ้น (AI Health Care for Elderly) ถ้าเราทำสำเร็จ เราก็สามารถที่จะใช้รูปแบบนี้กับทุกโรงพยาบาลที่กาชาดดูแลอยู่หรือมุ่งเน้นไปที่โรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากว่าโรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างมีความพร้อมอยู่แล้ว

ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราอยากเป็นองค์กรที่จะพาทุกคนไปก่อนหน้าที่จะถูกการเปลี่ยนแปลงกลืนกิน เพื่อให้ทุกคนสามารถก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงไป พาคนของเราและพาคนที่พร้อมไปกับเราได้อย่างมั่นคง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลมากขึ้น

ซึ่งก็ทำให้โจทย์ของการ Reskill เป็นเรื่องสำคัญมาก พนักงานกลุ่มที่จะถูกกระทบและน่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้มีจำนวนค่อนข้างมาก ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะโดนผลกระทบและไม่แน่ใจว่าเขาพร้อมที่จะไปกับเราหรือเปล่า ในกลุ่มนี้เราก็ไม่ได้พยายามเพิ่มจำนวนคนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่การลดจำนวนคนแต่เราจะต้อง Reskill พนักงานที่พร้อมจะก้าวสู่ยุคใหม่ไปด้วยกันให้ได้มากที่สุด

ปัจจุบันในองค์กรจำนวน Gen Y จะเยอะสุด ซึ่งอยู่ในตำแหน่งพนักงานเข้าใหม่ไปจนถึงรองผู้อำนวยการ แต่คิดว่าคนกลุ่มนี้พร้อมที่จะ Reskill และก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ส่วนกลุ่มที่อาจจะต้องเปลี่ยนบทบาทในการทำงานก็คือกลุ่มที่เป็น Cash Operation (นับเงิน-เติมเงิน-ขนเงิน) ซึ่งปริมาณธุรกรรมทาง Cash ไม่ได้ลดลง แต่ว่าไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งจำนวน Transaction ที่ตามสาขาเองจำนวนเปอร์เซ็นก็ไม่ได้ลดลง ยังโตได้ประมาณ 3-4% ทุกปี เพราะฉะนั้นก็ยังจำเป็นจะต้องมีพนักงานในส่วนนี้

แต่ว่าที่เราต้องการเพิ่มก็คือคนที่มีสกิล Digital มากขึ้น เปิดกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ หรือในอนาคตเองพนักงานตามสาขา ก็อาจจะต้องเปลี่ยนบริบท เดิมอาจเคยทำแต่ธุรกรรมแบบ Transaction เปลี่ยนเป็นผู้ให้คำแนะนำทางด้านการลงทุนหรือสินเชื่อ เป็นคล้ายๆ Advisor ก็คืออาจจะเป็นการเปลี่ยนภาพของการให้บริการทางสาขาไปเลย

การทำงานร่วมกับสแตนฟอร์ด ทำให้เราเห็นแนวความคิดใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ของเขา บางทีเขาหยิบยกปัญหาขึ้นมา อาจจะเป็นปัญหาที่คนอย่างเราๆ ไม่ได้นึกถึง เช่น “Carbon Footprint” ถ้าพูดถึงงบประมาณของรัฐบาลอาจจะไม่สามารถกระจายไปได้ในทุกหน่วยงาน หรือไม่สามารถโฟกัสไปที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น น่าน

แต่ทางทีมสแตนฟอร์ด พอมาถึงเบื้องต้น ก็ผุดไอเดียขึ้นเลยว่าใครก็ตามที่ปล่อยไอเสีย พิษ หรือใช้อะไรที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมบางอย่างเพื่อกลับมาฟื้นฟูตรงนี้ ยกตัวอย่าง เช่น สายการบิน, รถสาธารณะ หรือรถยนต์ ซึ่งแปลว่ามันมีวิธีที่รัฐบาลสามารถหารายได้ที่เกิดขึ้นจากการทำลายสภาพแวดล้อม เพื่อเอากลับมาเข้ามาช่วยประเทศในต่อๆไป

หรืออาจจะเป็นไอเดียใหม่ๆ ที่ทางทีมสแตนฟอร์ด ยกไอเดียขึ้นมา สำหรับโครงการที่น่าน เขาก็วิเคราะห์ว่าด้วยพื้นที่ และสภาพแวดล้อมแบบนี้ควรปลูกพืชแบบไหน และปลูกแบบไหนสามารถทำให้คนในพื้นที่หารายได้ได้ด้วย ก็คือเป็นการแก้ปัญหาแบบองค์รวม ซึ่ง ณ ตอนนี้ KBank อาจจะเป็นคนเริ่มในส่วนนี้แต่ในต่อๆไป หากโครงการสำเร็จด้วยดีทางเราเองก็หวังว่าจะมีหลายๆ ภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

สำหรับโครงการรักษ์ป่าน่าน จริงๆ มันเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่ถ้ามองลึกๆ เข้าไป เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาแค่ที่เรื่องสิ่งแวดล้อมได้ เพียงอย่างเดียว ในตัวพื้นที่เอง เราก็ต้องโฟกัสที่เรื่องของเกษตรกรด้วย ทำให้เขาเข้าใจในพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก พอมีความรู้ก็จะสามารถสร้างรายได้เลี้ยงชีพได้ ตรงนี้ก็คือจะตอบโจทย์ในหลายๆด้าน สิ่งแวดล้อม, เศรษฐกิจ และสังคมยั่งยืนด้วย (sustainability)

ซึ่งปัญหาที่เราพบคือ การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งป่าคือทำให้เกิดแม่น้ำน่าน ซึ่งแม่น้ำน่านมีส่วนในแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ 40% เพราะฉะนั้นถ้าป่าหมด น้ำก็หมด การทำไร่นา ใต้น่านลงมาก็คือจะพังหมดเลย นี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่เราเจอ

แนวทางการแก้ไขของเราเป็นแบบองค์รวม ไม่ได้แก้ไขแค่ในรูปแบบของเกษตร แปลว่าเราต้องหารายได้ให้ชาวบ้านเยอะขึ้น ยกตัวอย่างเช่น อาจจะเป็นการทำผ้าซิ่น เครื่องเงิน หรืออื่นๆ ที่เราเรียกว่ารายได้ประกอบการ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า “Nan Sandbox” ซึ่ง Sandbox แห่งนี้จะเป็นเสมือนพื้นที่ที่เราทดลองสร้างความยั่งยืน และถ้ามันประสบความสำเร็จเราก็จะนำไปปรับใช้กับพื้นที่อื่นๆต่อไปตามบริบทที่ใกล้เคียงกัน

หากเราลองมองตัวเองในทุกๆวันนี้ ชีวิตคนเราทั่วๆไปเริ่มจะไม่ได้มาที่แบงค์แล้ว เพราะฉะนั้นแปลว่าเราต้องไปอยู่ในทุกๆที่ที่ลูกค้าอยู่ ต้องกระจายตัวเองออกไปในทุกไลฟ์สไตล์ของคนเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Health, Transportation หรือ Social Chat ซึ่งตอนนี้เรามีพาร์ทเนอเยอะมาก ซึ่งนี่ก็เรียกว่าเป็นอีกกลยุทธ์ของเราเหมือนกัน ในการสนใจรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #1

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #2

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #3

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #4

Related Posts