ครั้งที่แล้ว Thereporter.asia ได้นำแอคคอร์ดเทอร์โบมาทดสอบกัน และในครั้งนี้ก็ถึงคิวรุ่นไฮบริดกันบ้าง รอบนี้ฮอนด้าประเทศไทยจัดตัวท็อปมาให้สัมผัสกันเลยกับ Accord Hybrid TECH ซึ่งถ้าจะเทียบหน้าตากันแล้ว แอคคอร์ดเทอร์โบจะเหมือนผู้ชายหล่อๆ ที่ไม่ได้เพิ่มเติมออปชัน เข้มแบบดิบๆ แต่มีเสน่ห์ ส่วนไฮบริดนั้นจะเป็นหนุ่มค่อนข้างเทรนดี้สักหน่อย เพราะมีแต่งโน่นนิด เสริมนั่นหน่อย ประมาณหนุ่มเมโทรเช็กชวลที่แอบหวืดหวาสะดุดตา
ถ้ามองเพียงภายนอกทางด้านความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจะเป็นล้อแม็คขนาด 18 นิ้วลายใบพัด 5 ก้าน ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ซันรูฟ และสปอยเลอร์เล็กบนฝาประโปรงท้าย แต่หากลองพิจารณาด้านในนอกจากเครื่องยนต์แล้ว แอคคอร์ดไฮบริดตัวท็อปยังมาพร้อม Honda Sensing อันชาญฉลาดและเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้แบบไม่ต้องเสี่ยง
Honda Sensing เป็นการทำงานของเรดาร์กับกล้องด้านหน้าในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน พร้อมควบคุมรถในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยมี 4 ระบบ ประกอบด้วย 1. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน 2. ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก 3. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ และ 4. ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ
“จริงอยู่ที่ใครหลายคนอาจจะมองว่าระบบพวกนี้ยังเป็นสิ่งไม่จำเป็นเท่าไร เพราะถ้าคนขับมีสติดีและไม่ประมาทก็ปลอดภัยได้เหมือนกัน แต่หากมองให้ลึกลงไปดีๆ แล้วระบบเหล่านี้ล่ะที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เพราะในบางเหตุการณ์ที่เกินความสามารถของมนุษย์ ระบบเหล่านี้จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยได้มากกว่า และในอดีตระบบเหล่านี้จะอยู่ในรถยนต์ยุโรประดับหรู แต่วันนี้ฮอนด้าก็นำมาใส่เพื่อให้คนที่เอื้อมไม่ถึงยุโรปหรูได้สัมผัสกันในรถบอดี้ใหญ่ นั่งสบาย”
และแน่นอนว่านอกจาก Honda Sensing แล้ว ระบบเด่นอย่าง Honda LaneWatch ที่เมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้าย หรือกดปุ่มที่ปลายก้านไฟเลี้ยว ระบบจะฉายภาพในมุมอับของกระจกส่องข้างด้านซ้ายที่ตาของเราไม่สามารถมองเห็นได้ ถือเป็นอีกจุดที่น่าสนใจมากๆ เพราะมันช่วยให้เราปลอดภัยมากขึ้นจากบรรดารถ 2 ล้อที่ขี่กันแบบไม่สนใจใคร มุดไปมา และบางทีก็มักจะมาในมุมที่เรามองไม่เห็นเสมอ แต่ Honda LaneWatch ก็ช่วยแก้ไขในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากความแพรวพราวเรื่องระบบความปลอดภัย สิ่งหนึ่งที่คนมักจะถามถึงความแตกต่างด้านสมรรถนะของแอคคอร์ดเทอร์โบ และแอคคอร์ดไฮบริด ซึ่งสำหรับรุ่นไฮบริดนี้ใช้เครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ให้กำลัง 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที โดยเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังรวม 215 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
“ด้านการขับขี่ในช่วงออกตัว แน่นอนว่ารถที่มีแบตเตอรี่เข้ามาช่วยเพิ่มพลังย่อมมีความหวือหวามากกว่า ให้ความจี๊ดจ๊าดช่วงออกตัว แต่ในช่วงความเร็วกลางๆ และความเร็วสูงนั้น จะไปแบบเรื่อยๆ ไม่จี๊ดเท่าไร ดังนั้นหากใครชอบรถที่ขับสนุกในทุกช่วงความเร็วคงต้องหันไปมองรุ่นเทอร์โบน่าจะเหมาะกว่า เพราะแม้รุ่นไฮบริด จะออกตัวทันอกทันใจกว่าเทอร์โบ แต่ในการขับทางไกลก็ไม่หวือหวาและมีกำลังไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องให้ขับสนุกกันแบบเทอร์โบ เพราะเมื่อแบตเตอรี่เริ่มอ่อนแรง พลังก็จะลดลงเช่นกัน”
แอคคอร์ดไฮบริดจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาเติมน้ำมัน เพราะในการขับขี่แบบธรรมดาและปกติ ไม่ได้ขับโหด แอคคอร์ดไฮบริดจะให้ผลด้านความประหยัดที่ค่อนข้างน่าพอใจอย่างมาก แต่ถ้าขับแบบโหดเค้นสมรรถนะยาวๆ ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเครื่องยนต์ธรรมดาสักเท่าไร จึงเหมาะสำหรับนักขับที่ไม่ใช่นักแข่ง มีการใช้งานแบบบู๊ได้บ้าง โหดได้บ้าง แต่เน้นการใช้งานเทคโนโลยีมาแบบจัดเต็ม เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตในเมืองอัตราการเผาผลาญช่วงรถติดจะทำได้ดีกว่าตัวเทอร์โบ เพราะไฮบริดสามารถวิ่งแบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถ้าแบตเตอรี่เหลือเพียงพอ
ทางด้านช่วงล่างนั้น เนื่องจากมีแบตเตอรี่ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มกว่ารุ่นเทอร์โบ จึงทำให้มีความรู้สึกมั่นใจได้ในระดับหนึ่งทั้งทางตรงและความเร็วสูง ให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ดี การเข้าโค้งก็ทำได้ดี แต่ก็ไม่ควรจะเข้ากันแบบโหดมากนัก เพราะคงไม่เหมาะที่จะทำแบบนั้น พวงมาลัยมีน้ำหนักกำลังดีที่ความเร็วต่ำ และเพิ่มหน่วงขึ้นในความเร็วสูง เช่นเดียวกับเบรคที่หากใครไม่เคยขับรถไฮบริด จะรู้สึกแปลกๆ เพราะจะมีแรงต้านเท้าหน่อยๆ ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แบบปกติ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังหยุดได้อย่างมั่นใจในทุกช่วงความเร็ว และยิ่งมีระบบ Honda Sensing ด้วยแล้ว หมดกังวลไปเลย
หันมามองเทคโนโลยีอื่นๆ ที่แอคคอร์ดไฮบริดตัวท็อปรุ่นนี้ใส่มาให้ นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้ว เริ่มจากระบบ Remote Engine Start เพียงกดรีโมตรถก็จะสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์ลดความร้อนก่อนที่คนขับจะเข้าไปนั่งในรถ หมดปัญหาเรื่องความร้อนในห้องโดยสารในเวลาที่ต้องจอดตากแดด เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า ฝั่งคนขับสามารถปรับได้ 8 ทิศทาง ปุ่มปรับดันหลัง พร้อมระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะ 2 ตำแหน่ง และมีระบบเลื่อนถอยเบาะให้โดยอัตโนมัติเมื่อดับเครื่องเพื่อให้ลุกเข้าออกได้ง่าย และจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมเมื่อนั่งแล้วสตาร์ทรถ ซึ่งเบาะนั่งคู่หน้านี้ก็มีการจัดวางให้นั่งสบาย เช่นเดียวกับเบาะผู้โดยสารด้านหลังที่จัดวางตำแหน่งให้นั่งได้สบายอย่างมาก
Head Up Display ระบบฉายข้อมูลขึ้นบนกระจกหน้าทำให้เราไม่ต้องละสายตาลงมามองที่พวงมาลัย แรกๆ อาจจะยังไม่ชิน แต่ใช้ไปสักพักก็จะเริ่มชินไปเอง แม้จะติดก้มลงมามองที่เดิมนิดหน่อย ส่วนระบบความบันเทิงในรถนั้นก็รองรับทั้ง AppleCarPlay และ Android Auto มีลำโพงเสียงดีมาให้ 10 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์ ฟังดีให้ความเพลิดเพลินได้มาก
ระบบช่วยจอดรถ Honda Smart Parking Assist System เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความสะดวกสบายได้มาก เพราะเมื่อเปิดใช้งาน ระบบจะหาช่องว่างสำหรับจอดรถให้ โดยจะขึ้นกรอบสีเขียวขึ้นมาว่าจอดได้ และเราต้องเข้าไปจอดตามนั้น โดยทำตามคำสั่งของรถที่จะแสดงบนหน้าจอซึ่งขึ้นเป็นภาษาไทยด้วยนะ แต่ทั้งนี้ผู้ขับยังต้องเปลี่ยนเกียร์และเบรคเอง ส่วนพวงมาลัยนั้นระบบจะจัดการให้ ใครจอดรถไม่แม่น ระบบนี้ก็ช่วยได้ดีพอสมควร แต่ต้องเรียนรู้สักหน่อย เพราะไม่ได้ง่ายนัก แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป ใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะชินและสนุกกับมันไปเอง
ระบบ Active Noise Control ที่ปล่อยคลื่นเสียงออกมาจากลำโพงเพื่อกลบเสียงรบกวนบางอย่างออกไป นอกเหนือไปจากการพ่นโฟมเก็บเสียงหนาขึ้นรอบคัน ทั้งพื้นล่าง บริเวณรอยต่อห้องเครื่องยนต์ รวมแล้ว 11 จุด ช่วยเก็บเสียงจากพื้นล่างของรถได้ดีมาก และอีกระบบหนึ่งที่ชอบคือการเตือนเวลาถอยหลังสำหรับไฮบริดรุ่นท๊อปตัวนี้ จะส่งสัญญาณเตือนเมื่อมีรถเข้ามาในระยะที่ใกล้เกินความปลอดภัย และจะมีสัญลักษณ์ขึ้นเตือนให้เราระวังมากกว่าเดิม
และขาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่ใช้มือถือบ่อย กับฟังก์ชันที่ชาร์จไร้สาย ซึ่งในตอนที่เอาโทรศัพท์ไปวางในช่องด้านล่างของคอนโซลนั้น ก็ไม่รู้หรอกว่ามีที่ชาร์จไร้สายให้ด้วย แต่พอถึงจุดหมายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมร้อน เลยลองเพ่งดูถึงได้รู้ว่าเป็นที่ชาร์จไร้สาย แล้วแบตเตอรี่ในมือถือก็เต็ม 100% เลย แถมไม่ต้องเปิดปิดให้ยุ่งยากเพราะมันเชื่อมกันแบบอัตโนมัติ ดีไปอีก แต่ก็ต้องเป็นมือถือที่รองรับระบบนี้ด้วยนะ