บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยผลการดำเนินธุรกิจครึ่งแรกของปี 2566 โดยมีรายได้จากการขายรวม 2,424 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,498 ล้านบาท) มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 280 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 25,474 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,543 ล้านบาท) บริษัทฯ ยังคงรักษากระแสเงินสดในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย บริษัทฯ จึงมุ่งดำเนินธุรกิจโดยเน้นความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดพลังงานที่มีความผันผวนสูง
บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในประเทศยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และเร่งพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เพื่อตอบโจทย์การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เดินหน้าเปลี่ยนผ่านธุรกิจเพื่อตอกย้ำจุดยืนในการส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter Energy for Sustainability)
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 นี้ บ้านปูยังสามารถรักษาเสถียรภาพของการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจไว้ได้ แม้ว่าสถานการณ์พลังงานโลกและสภาพอากาศมีความผันผวน ซึ่งล้วนส่งผลต่อแนวนโยบายในแต่ละประเทศ รวมทั้งแนวโน้มในอุปสงค์และอุปทานของการใช้พลังงาน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญอีกครั้งจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าข้างเคียงโรงไฟฟ้า Temple I ที่มีอยู่เดิม และเป็นสินทรัพย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วและสร้างกระแสเงินสดได้ทันที สามารถต่อยอดและผนึกกำลังร่วมกับโรงไฟฟ้า Temple I เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจในสหรัฐฯ ผนวกกับการยกระดับความยั่งยืนในกระบวนการผลิตโดยการนำเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) มาใช้ โดยดำเนินการครอบคลุมแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโกลด์จาก IES TrustWell จาก Project Canary ในฐานะแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความรับผิดชอบ (Responsibly Sourced Gas)”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ด้านกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) ธุรกิจเหมือง ยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดที่ดีและมั่นคง ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เผชิญกับสภาวะราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงเนื่องจากปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองในสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เน้นบริหารจัดการเงินทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด เพื่อให้คงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง
ในกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีในไทยและโรงไฟฟ้าเอชพีซีในลาว ยังคงสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่าย (EAF) ไว้ได้ในระดับสูง ขณะที่ในไตรมาสที่ 2 โรงไฟฟ้า Temple I ในสหรัฐฯ ก็สร้างผลกำไรจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในรัฐเท็กซัสที่ส่งผลต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม ต่างมีผลการดำเนินงานที่ดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและค่าความเข้มของแสงที่สูง นอกจากนั้น โรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) ในเวียดนามยังสร้างแล้วเสร็จและผ่านกระบวนการทดสอบการทำงานของโรงไฟฟ้า (Commissioning) เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างยื่นเอกสารเพื่อขอเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์จากทางการเวียดนาม
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) มีการเติบโตต่อเนื่องสอดรับกับนโยบายการผลิตและการใช้ยานยนต์ไร้มลพิษของภาครัฐ (Zero Emission Vehicle: ZEV) พร้อมช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในดูราเพาเวอร์ (Durapower) เป็น 65.10% เพื่อต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานในอนาคต ตั้งเป้ากำลังการผลิตเป็น 2 กิกะวัตต์ชั่วโมง ในปีหน้า ในส่วนของธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นได้มีการทำสัญญาซื้อขายกับลูกค้าในภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางกว่า 500 ราย ในครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นจำนวนรวม 268 กิกะวัตต์ชั่วโมง สำหรับในประเทศไทย บริษัทฯ ยังนำเสนอโซลูชันพลังงานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนมาโชว์เคสในโครงการ ‘Infinite Cafe Powered by Banpu NEXT’ ป๊อบอัพคาเฟ่ที่ใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจร ผ่านระบบผลิตไฟฟ้าแบบ Off-Grid ที่มีระบบโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า เพื่อขยายสู่กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดย่อม ในขณะที่บริษัทร่วมทุนของบริษัทฯ ได้ชนะการประมูลโครงการจัดทำระบบความเย็นให้แก่อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อีกด้วย
“บ้านปูยังคงเดินหน้าต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแนวปฏิบัติของมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD: Task Force on Climate-related Financial Disclosures) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณชนและแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม ตอกย้ำเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ที่เรายึดถือมาโดยตลอดนับตั้งแต่ตั้งต้นธุรกิจ นับจากนี้บ้านปูกำลังเดินหน้าสู่ทศวรรษต่อไป ควบคู่ไปกับการขยายการลงทุนตามกลยุทธ์ Greener & Smarter มุ่งนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานที่ดีที่สุดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลังงานแห่งโลกอนาคต พร้อมขับเคลื่อนไปอีกขั้นสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คนอย่างยั่งยืน (Power a Better Living for All)” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย