LGT มองภาพรวม เศรษฐกิจโลก ปี 2567 ในเชิงบวก โดยคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะมีการชะลอตัวแบบ “Soft Landing” มองแนวโน้มในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป และไทย และการเติบโตของจีนในระดับปานกลาง
สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกของ LGT เกี่ยวกับภาพรวม เศรษฐกิจโลก และเอเชีย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567
- – เซ็นทรัล เปิดแลนด์มาร์กฉลองตรุษจีนรับปีมหามังกร ทุ่มงบ 500 ล้าน ดันเศรษฐกิจและท่องเที่ยวไตรมาสแรก
- – AIS 3BB FIBRE3 บุกถิ่นล้านนา ดันศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์และวิถีชีวิตด้วยนวัตกรรมเน็ตบ้าน
สหรัฐอเมริกา
แม้ว่าในปี 2566 จะเป็นปีที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ LGT ยังคงมองในเชิงบวกว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ในครึ่งแรกของปี 2567 จะนำไปสู่การชะลอตัวแบบ soft landing เพื่อหลีกเลี่ยงการหดตัวของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย LGT มีมุมมองในเชิงบวกเนื่องจากอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ต่ำ ตามการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง
แม้ว่าความต้องการแรงงานในสหรัฐฯ โดยรวมจะลดลง แต่จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับยังคงสูงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการแรงงานในด้านการก่อสร้างยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง LGT คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะมีอัตราการเติบโตแบบไม่นับรวมเงินเฟ้อประมาณ 2% ในปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ที่ 2% ตามเป้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี
ญี่ปุ่น
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นประสบกับภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2566 และยังคงเผชิญความท้าทายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม LGT มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความท้าทายในระยะสั้น และมองว่าภาพรวมทั้งปีของบริษัทญี่ปุ่นและการลงทุนยังคงมีแนวโน้มที่ดี บริษัทญี่ปุ่นได้เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปการกำกับดูแลกิจการ ประกอบกับเงินเยนที่อ่อนค่าในปี 2566 ทำให้บริษัทมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะเดียวกันยังมีสัญญาณที่ชัดเจนของการเพิ่มขึ้นของราคาผู้บริโภคและสินทรัพย์ ดังนั้น LGT จึงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปี 2567 และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
อินเดีย
อินเดียได้กลายเป็นตลาดในภูมิภาคเอเชียอันดับสองของ LGT สาเหตุหลักเนื่องจากการลงทุนที่สำคัญ ๆ ของรัฐบาลอินเดียในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ทางรถไฟ และสนามบิน โดย LGT คาดการณ์ว่า GDP ของอินเดียจะมีอัตราการเติบโตแบบไม่นับรวมเงินเฟ้ออย่างน้อย 6% ในปี 2567 ขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ
จีน
คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2567 จะอยู่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 5%) สาเหตุหลักมาจากความอ่อนแอในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2568 เมื่อมองในมิติของการประเมินมูลค่า ตลาดหุ้นจีนอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดในระยะยาว และนักลงทุนก็พร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง โดยคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ระหว่างที่รอดูการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนตามหลังตลาดอื่นได้
ยุโรป
ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลีในปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อส่งออกจากจีน อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร (Eurozone) ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อการผลิตที่อยู่ในระดับสูงสะสมมาตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง LGT คาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในยุโรปในระดับปานกลางในปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ย
ไทย
LGT คาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะเติบโตที่ 3% ในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย มีดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (5.6 แสนล้านบาท) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้
กลยุทธ์การลงทุนในระดับโลก
โดยรวมแล้ว LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงฤดูร้อน LGT คาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในแง่ของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอินเดียและสหรัฐอเมริกานั้น LGT คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจของอินเดีย ในขณะที่สหรัฐฯ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและนโยบายในช่วงฤดูร้อนในแง่ของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น