ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ คลื่นความร้อน ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ อุณหภูมิพุ่งสูงแตะ 50 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อประชาชน สุขภาพ และเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง
- – กรุงเทพประกันภัย ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจให้คนไทยห่างไกลภาวะซึมเศร้า
- – CLASSY ปักหมุดย่านราชพฤกษ์ ขึ้นแท่นคลินิกดูแลสุขภาพและความงาม ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
สาเหตุของคลื่นความร้อน
คลื่นความร้อน ในครั้งนี้เกิดจากสภาวะกดอากาศสูงจากทางตะวันออกเฉียงเหนือแผ่ปกคลุมประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลจากลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดพาความร้อนและความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้ามา ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระบุรี ลพบุรี อยุธยา นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี สุพรรณบุรี ชัยภูมิ อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
ผลกระทบจากคลื่นความร้อน
คลื่นความร้อนสร้างผลกระทบต่อประชาชน สุขภาพ และเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ดังนี้
- ด้านสุขภาพ: ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอากาศร้อนจัด เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมแดด
- ด้านเศรษฐกิจ: คลื่นความร้อนส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ประชาชนใช้น้ำประปามากขึ้น ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า
- ด้านอื่นๆ: คลื่นความร้อนส่งผลต่อการท่องเที่ยว ประชาชนออกจากบ้านน้อยลง ส่งผลต่อธุรกิจร้านค้า
แนวทางการรับมือกับคลื่นความร้อน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำแนวทางการรับมือกับคลื่นความร้อน ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 น. – 15.00 น.
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
- สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ระบายอากาศได้ดี
- รับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้
- อาบน้ำเย็นหรือเช็ดตัวบ่อยๆ
- ดูแลผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้มีโรคประจำตัว
การติดตามสถานการณ์คลื่นความร้อน
ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์คลื่นความร้อนได้จากเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค https://ddc.moph.go.th/ หรือกรมอุตุนิยมวิทยา https://www.tmd.go.th/
คลื่นความร้อนครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนควรมีการเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต