รัฐบาลกัมพูชาประกาศแผนการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ในโครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ มูลค่ากว่า 2.1 แสนล้านบาท ภายในปี 2583 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทการพัฒนาพลังงาน (Power Development Masterplan: PDP) เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียว เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล รวมกันกว่า 4,600 เมกะวัตต์
- – สามารถเทลคอม เดินหน้าเต็มสูบ! ชูธงโซลูชันรักษ์โลก ตอบโจทย์ ESG
- – เอสซีจี ‘องค์กรแห่งโอกาส’ หนุนพลังคนปล่อยแสง ปั้นนวัตกรรมกรีนโดนใจ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
โอกาสทองของนักลงทุนไทย
แผน PDP นี้เปิดโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญสำหรับนักลงทุนไทย โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ พนมเปญ กำปงฉนัง กำปงสปือ และกำปงธม ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง มีสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของประเทศ
Krungthai COMPASS ประเมินว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจ โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อปี (IRR) ตั้งแต่ 4.18% ถึง 19.35% และระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.9 ถึง 12.3 ปี ขึ้นอยู่กับราคาขายไฟฟ้าที่เสนอในการประมูล
แผนแม่บทการพัฒนาพลังงาน (Power Development Masterplan: PDP) ของกัมพูชา ปี 2565-2583 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียว เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล รวมกันกว่า 4,600 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 2.1 แสนล้านบาท
แผน PDP นี้แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
- ช่วงปี 2565-2568: เป็นโครงการที่ได้ทำสัญญาลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปแล้ว
- ช่วงปี 2569-2583: เป็นโครงการที่กำลังเปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาลงทุน
สำหรับการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 2,450 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท โดยจะพัฒนาโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 39 แห่งใน 11 จังหวัด ซึ่งรวมถึงพนมเปญ กำปงฉนัง กำปงสปือ และกำปงธม
Krungthai COMPASS ได้ประเมินว่า 4 จังหวัดนี้มีความเหมาะสมในการลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์สำหรับนักลงทุนไทย โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- แผนกำลังการผลิตรวมของแต่ละจังหวัด: สะท้อนถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละจังหวัด
- ค่าความเข้มของรังสีดวงอาทิตย์ต่อพื้นที่ (GHI): สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละจังหวัด
- ระยะห่างของแต่ละจังหวัดกับท่าเรือสีหนุวิลล์: สะท้อนถึงต้นทุนการขนส่งวัสดุและอุปกรณ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
จากการประเมินพบว่า พนมเปญและกำปงฉนังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพโดดเด่น เนื่องจากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงและมีค่า GHI ที่เหมาะสม ส่วนกำปงสปือมีความน่าสนใจเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชายังมีแผนที่จะส่งเสริมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย
แม้ว่าโอกาสในการลงทุนจะดูสดใส แต่ก็มีความท้าทายและความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่น การแข่งขันที่สูงจากนักลงทุนต่างชาติ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและนโยบายของรัฐบาลกัมพูชา ตลอดจนความเสี่ยงทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
นักลงทุนไทยที่สนใจควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงวางแผนการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การหาพันธมิตรทางธุรกิจในกัมพูชาและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนไทยประสบความสำเร็จในการลงทุนในกัมพูชา
การลงทุนใน พลังงานแสงอาทิตย์ ครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกัมพูชา แต่ยังเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนและสังคมโดยรวม
#พลังงานแสงอาทิตย์ #กัมพูชา #การลงทุน #โอกาสทางธุรกิจ #พลังงานสะอาด #ลดโลกร้อน #TheReporterAsia