ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ มาเลเซีย จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567-2568 โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง การฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4.5% ในปี 2567 และ 4.6% ในปี 2568 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปี ก่อนช่วงโควิด-19 ที่ 4.9%
- – มาสด้า ประกาศมอบ หุ้นทุนสำรอง เพื่อตอบแทนพนักงาน
- – ก.ล.ต. มาเลเซีย เตือนอย่าหลงเชื่อ! “ดีปเฟค” วิดีโอปลอมสุดเนียน
ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว หนุนภาคบริการและการบริโภคภาคเอกชนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมาเลเซียตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ที่ 23.7 ล้านคนในปี 2567 และ 31.4 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 102.7 พันล้านริงกิต และ 125.5 พันล้านริงกิตตามลำดับ
การลงทุนจากต่างประเทศ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเบิกจ่ายจริงภายใน 18-24 เดือนข้างหน้า มาเลเซียยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีแรงงานที่มีฝีมือ ราคาน้ำมันที่ถูก และมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีจำนวนมากที่สุดในภูมิภาค
ความท้าทายจากเงินเฟ้อ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากรัฐบาลมีแผนลดเงินอุดหนุนสินค้าต่าง ๆ ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.8% ในปี 2567 และ 3.0% ในปี 2568
มาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง รัฐบาลมาเลเซียได้ดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ โดยในปี 2567 งบประมาณเงินอุดหนุนและเงินช่วยเหลือทางสังคมได้ถูกลดลงจาก 64.2 พันล้านริงกิตในปี 2566 เป็น 52.8 พันล้านริงกิต นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนที่จะทยอยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันเบนซิน 95 แบบเป็นการทั่วไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนี้สาธารณะ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง แม้ว่าคาดว่าจะทยอยลดลงจาก 64.3% ของ GDP ในปี 2566 มาอยู่ที่ 63% ในปี 2568 ตามมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังและการเติบโตของ GDP แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
ค่าเงินริงกิต เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง 2.6% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งน้อยกว่าประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลางมาเลเซียที่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่งกลับรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ
ธนาคารกลางมาเลเซีย หรือ BNM คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.0% ในปี 2567-2568 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจและสอดคล้องกับประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจมาเลเซียมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567-2568 โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องมีการดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
#เศรษฐกิจมาเลเซีย #การลงทุน #การท่องเที่ยว #เงินเฟ้อ #นโยบายการคลัง