ตลาดรถยนต์ไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญ การมาของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังเพลิดเพลินกับตัวเลือกที่หลากหลายและราคาที่ถูกลงจากสงครามราคาที่ดุเดือด ภาคอุตสาหกรรมกลับกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาว
- – โอโมดา เตรียมเผยโฉม JAECOO 6 พร้อมเปิดจอง OMODA C5 EV 6 สิงหาคมนี้!
- – Plan B Eleven เปิดเกมรุก “เฟส 2” เดินหน้ากลยุทธ์ 4O “ที่สุดของนักกีฬา”
จากการศึกษาของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในการเลือกซื้อรถยนต์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้บริโภคใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น และมองหาข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาขาย การประหยัดพลังงาน ค่าบำรุงรักษา ไปจนถึงมูลค่าขายต่อ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะใช้รถยนต์คันเดิมนานขึ้น โดยปัจจุบันมีอายุการใช้งานเฉลี่ยเกือบ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 7 ปีในปี 2013
สงครามราคา: ผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่ผู้ผลิตเจ็บตัว
กลยุทธ์การลดราคาขาย หรือที่เรียกว่า “สงครามราคา” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้ผลิตรถยนต์ใช้ในการกระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ SCB EIC พบว่าประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้เริ่มลดลง ผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับการลดราคา และมีแนวโน้มที่จะชะลอการตัดสินใจซื้อ เพื่อรอราคาที่อาจจะถูกลงอีกในอนาคต หรือที่เรียกว่า “Wait & See Strategy”
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้สงครามราคามีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น คือ การทะลักเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะ รถยนต์ไฟฟ้า ล้วน (BEV) รุ่นที่เปิดตัวไปแล้วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คาดว่าราคาขายจะปรับลดลงได้อีก เนื่องจากผู้ผลิตต้องการระบายสินค้าคงคลังในประเทศจีน และกระตุ้นยอดขายในตลาดไทยที่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
แม้ว่าสงครามราคาจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากเกือบทุกองค์ประกอบของกิจกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย และยังคงพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศได้รับอานิสงส์ค่อนข้างจำกัด
นอกจากผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังมีความท้าทายอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของค่าเสื่อมราคาที่สูง และเบี้ยประกันที่แพงกว่ารถยนต์สันดาป (ICE) อย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของ SCB EIC พบว่ามูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงเกือบ 50% จากราคาขายเมื่อใช้งานไปเพียงแค่ 1 ปี และหลังจากนั้นจะเสื่อมค่าลงเฉลี่ยปีละเกือบ 5% ขณะที่รถยนต์สันดาปยังคงสามารถรักษามูลค่าในปีแรกไว้ได้ถึง 67% ของราคารถใหม่
คำถามคือ ใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้?
ในระยะสั้น ผู้บริโภคดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะที่ได้ประโยชน์จากสงครามราคาและตัวเลือกที่หลากหลาย แต่ในระยะยาว หากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไม่สามารถปรับตัวและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันได้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมได้
อนาคตของตลาดรถยนต์ไทย
อนาคตของตลาดรถยนต์ไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ สงครามราคาที่ดุเดือด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องจับตามองและเตรียมรับมืออย่างใกล้ชิด
สำหรับผู้บริโภค การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรมองเพียงแค่ราคาขายที่ถูกลง แต่ควรพิจารณาถึงต้นทุนการเป็นเจ้าของรถยนต์ในระยะยาวด้วย เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา และเบี้ยประกัน
สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย การปรับตัวและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐและภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดรถยนต์ไทย อนาคตของอุตสาหกรรมนี้จะขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ดีเพียงใด
#รถยนต์ไฟฟ้า #สงครามราคา #ตลาดรถยนต์ไทย #ผู้บริโภค #อุตสาหกรรมยานยนต์ #SCBEIC