กรุงเทพฯ – เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของโลกยุคใหม่ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกต่างเร่งพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ (Artificial General Intelligence) อย่างไรก็ตาม การขาดธรรมาภิบาลในการพัฒนาและใช้งาน AI อาจนำมาซึ่งความท้าทายสำคัญ เช่น การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม การใช้ AI ทดแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ การละเมิดความเป็นส่วนตัว และภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น
- – เดลต้า จัดงาน DELTA FUTURE INDUSTRY SUMMIT 2024 ชูศักยภาพ AI
- – Ai-Da หุ่นยนต์วาดภาพเหมือนจริง! เตรียมประมูลขายผลงานศิลปะชิ้นแรก
ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาและใช้งาน ปัญญาประดิษฐ์ อย่างมีธรรมาภิบาล จึงได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570” ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 โดยมีการขับเคลื่อนมาแล้ว 2 ปี ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติตลอดสองปีที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานที่สำคัญในหลายด้าน ดังนี้
-
ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร พร้อมเครื่องมือประเมินด้าน AI อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายต่างประเทศเพื่อร่วมนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นแนวทางการกำกับดูแล AI ในระดับสากล
-
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC มีจำนวนการใช้งานโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านครั้งต่อเดือน รวมทั้งให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน สำหรับการวิจัยด้าน AI ของภาครัฐและเอกชน
-
ด้านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของแผนฯ โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการพัฒนากำลังคนด้าน AI ผ่านการพัฒนาทักษะทางด้าน AI ในรูปแบบต่างๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ หลักสูตรอบรมทักษะ AI ระยะสั้น และหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI ที่ผสมผสานตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเองจนถึงการฝึกงานในสถานที่จริง เป็นจำนวนรวมมากกว่า 1 แสนคน โดยแผนพัฒนากำลังคนด้าน AI มีกรอบดำเนินการใน 3 ส่วน แบ่งตามช่วงชีวิตการเรียนรู้ของคน ดังนี้
- AI@School เพื่อสร้างผู้สอนและบรรจุหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้น ให้มีความตระหนักและทักษะทางด้าน AI เบื้องต้น
- AI@University เพื่อพัฒนาทักษะ AI ทุกระดับอย่างต่อเนื่องในระบบอุดมศึกษา
- AI@Lifelong Learning เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนในทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ได้ตลอดช่วงชีวิต
ตอบรับนโยบาย อว. for AI ทั้ง 3 เรื่องหลัก ได้แก่
- AI for Education การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุดและเร็วที่สุด
- AI Workforce Development การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน
- AI Innovation ด้านการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด โดยส่งเสริมให้สตาร์ตอัปพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีจาก AI มากกว่า 50 ผลิตภัณฑ์
-
ด้านการวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการนำ AI เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 6 แสนคน มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์ 220 หน่วยงาน ครอบคลุม 17 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Medical AI Consortium เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical AI Data Sharing) ในปัจจุบันมีข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์มากกว่า 1.6 ล้านภาพ
จากการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่างๆ ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลกในการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ แม้จะปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนน ซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในภาพรวมของประเทศต่อไป
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เนคเทค ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี AI ที่สั่งสมประสบการณ์วิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี ได้ส่งมอบแพลตฟอร์มให้บริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทย หรือ AI for Thai ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้าน AI ของประเทศ
และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ในฐานะแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งให้บริการ API มากกว่า 60 รายการ ครอบคลุมการประมวลผลภาษาไทย ทั้งด้านภาพ เสียง และข้อความ และมียอดการใช้งานสะสม 53 ล้านครั้ง
นอกจากนี้ เนคเทคและพันธมิตรยังร่วมพัฒนา ‘OpenThaiGPT’ แบบจำลองภาษาไทยขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในรูปแบบโมเดลพื้นฐานแบบโอเพนซอร์ส (Open-source Foundation Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทย ปัจจุบันมี 5 หน่วยงานทดลองนำระบบไปประยุกต์ใช้งาน (Proof of Concept) ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกรมสรรพากร และเป็นโมเดลพื้นฐานของการเปิดตัว 22 บริการใหม่บน AI for Thai (www.aiforthai.co.th) โดยมีให้บริการในกลุ่มภารกิจต่างๆ ได้แก่ การสร้างเนื้อหา (Content Generation) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การจัดการเอกสาร (Document Management) และบริการด้านการศึกษา (Education)
ดร.ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “เนคเทค-สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้สอดรับกับความต้องการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม AI for Thai ที่ส่วนใหญ่เป็นนักพัฒนาและผู้ประกอบการ SME ซึ่งต้องการนำ AI ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ การพัฒนา OpenThaiGPT จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี AI สัญชาติไทย ที่ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก AI ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเน้นการพัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถประมวลผลภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ”
การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ ปัญญาประดิษฐ์ แห่งชาติในระยะต่อไป
สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 และปีต่อๆ ไป จะเป็นการต่อยอดและขยายผลจากการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการพัฒนา AI ให้สามารถตอบโจทย์ปัญหาที่สำคัญเร่งด่วนของประเทศ และผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI อย่างแพร่หลายในทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยมีแผนงานสำคัญ ดังนี้
- การพัฒนา AI เพื่อการแพทย์และสาธารณสุข: มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล และการป้องกันโรค รวมถึงการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลด้านสาธารณสุข
- การพัฒนา AI เพื่อการเกษตร: มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการปรับปรุงคุณภาพผลผลิต
- การพัฒนา AI เพื่อการศึกษา: มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้
- การพัฒนา AI เพื่อการท่องเที่ยว: มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดการการท่องเที่ยว และการให้บริการนักท่องเที่ยว
- การพัฒนา AI เพื่อการบริการภาครัฐ: มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การลดต้นทุนการดำเนินงาน และการเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ
การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยเทคโนโลยี AI ได้อย่างยั่งยืน
#AI #ปัญญาประดิษฐ์ #AIแห่งชาติ #aiforthai #OpenThaiGPT #เนคเทค #สวทช. #เศรษฐกิจดิจิทัล #เทคโนโลยี