กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2567 ในหัวข้อ “ปรับประเทศไทย…ให้อยู่รอดได้ในยุค โลกเดือด” เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี โดยงานสัมมนาครั้งนี้ได้นำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- – วราวุธ ชี้คนไทยต้องร่วมใจสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี รับมือวิกฤตโลกร้อน
- – เอเชียกลาง รวมพลังลดโลกร้อน ปูทางสู่ COP29
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวเตือนว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นจะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น โดยประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับ 4 ภัยพิบัติหลัก ได้แก่
- ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและการกัดเซาะชายฝั่ง
- อุทกภัย
- ภัยแล้งรุนแรง
- อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างมากในหลายพื้นที่
“พวกเราทุกคนจะอยู่ในโลกใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน…ประเทศไทยจะเสี่ยงจาก 4 ภัยอันตราย” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และผลิตภาพแรงงาน ทีดีอาร์ไอ จึงเสนอ 4 แนวทางหลักในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ได้แก่
- สร้างงานใหม่ทดแทนงานกลางแจ้ง: เนื่องจากงานกลางแจ้ง เช่น ภาคการเกษตรและก่อสร้าง จะได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น จำเป็นต้องมีการสร้างงานใหม่ๆ เพื่อรองรับแรงงาน
- ปรับปรุงสภาพเมือง: ลดความร้อนและความเสี่ยงจากอุทกภัยในเมือง รวมถึงการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นในเมืองชายฝั่ง
- พัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติ: เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติ
- เตรียมเงินทุน: จัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนการปรับตัว โดยคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ
“เมื่อเราอยู่ในโลกที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เราจะไม่สามารถคิดแบบเดิม” ดร.สมเกียรติ กล่าว พร้อมเสนอให้ประเทศไทยใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปนโยบายต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงระบบพยากรณ์อากาศ การกระจายอำนาจ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทย
ทีดีอาร์ไอ เชื่อว่าหากประเทศไทยปรับตัวได้สำเร็จ จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การผลิตอาหารที่ใช้น้ำน้อยแต่มีผลผลิตสูง การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและปล่อยคาร์บอนต่ำ และการพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ภาคเกษตรต้อง “เท่าทันภูมิอากาศ”
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ ชี้ว่าประเทศไทยจะสูญเสียผลผลิตภาคเกษตรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงจำเป็นต้องปรับตัวภายใต้แนวคิด “เกษตรเท่าทันภูมิอากาศ” โดยเน้นการสร้างความยืดหยุ่น ใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิต และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ตัวอย่างการปรับตัวในระดับเกษตรกร เช่น การปลูกพืชแบบผสมผสาน การปรับปฏิทินการเพาะปลูก และการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในระดับนโยบาย ต้องสนับสนุนการวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วม และมีผลผลิตสูง
ภาคเกษตรของไทยมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหลายรูปแบบ เช่น การกระจายการผลิตโดยการปลูกพืชหลากหลายชนิด การปรับปฏิทินการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำด้วยเทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น การใช้น้ำหยด
จากข้อมูลในช่วงปี 1961-2022 พบว่า ประเทศไทยมีเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงทางรายได้ แม้ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา
นอกจากนี้ การปรับปฏิทินการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ เช่น การเลือกช่วงเวลาเพาะปลูกที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้ ตัวอย่างเช่น กรณีข้าวในจังหวัดสุพรรณบุรี ชาวนาที่ทดลองปลูกข้าวตามปฏิทินที่เหมาะสมจะได้ผลผลิตสูงกว่า และกรณีข้าวโพด เกษตรกรที่เลือกวันปลูกตามคำแนะนำของแบบจำลองจะได้ผลผลิตสูงกว่าถึง 50%
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในการเพาะปลูก เช่น การใช้น้ำหยด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มผลผลิต โดยข้อมูลจากไร่ภูตะวันออกานิกส์ฟาร์ม จังหวัดอำนาจเจริญ พบว่า การใช้น้ำหยดช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยได้ 2-3 ตันต่อไร่ และจากกลุ่มเกษตรกรโรงเรือนผัก พบว่า การใช้น้ำหยดช่วยเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังไม่น้อยกว่า 0.8 ตันต่อไร่
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของภาคเกษตรยังมีอุปสรรค เช่น การขาดแคลนเงินทุน แรงจูงใจ และที่ดิน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น การพัฒนานวัตกรรม การจัดการน้ำ และการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย รวมถึงการปฏิรูประบบส่งเสริมการเกษตร
โลกเดือด อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว เมือง ต้องปรับตัวรับมือ
ดร.นพรุจ จินดาสมบัติเจริญ นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงความเสี่ยงของภาคอุตสาหกรรมจากภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมในภาคกลาง จึงเสนอให้มีการกำหนดเขตอุตสาหกรรม ห้ามตั้งโรงงานใหม่ในพื้นที่เสี่ยง และส่งเสริมการย้ายฐานการผลิต รวมถึงการกระจายการลงทุนไปยังพื้นที่อื่นๆ
ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมและภัยแล้ง โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมในภาคกลาง เช่น อยุธยาและปทุมธานี ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วม ดังนั้น ควรมีมาตรการลดความเสี่ยง เช่น การกำหนดเขตอุตสาหกรรม การส่งเสริมการย้ายฐานการผลิต และการกระจายการลงทุนไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง แต่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้น้ำรีไซเคิลและการปรับราคาค่าน้ำดิบ
สำหรับภาคการท่องเที่ยว ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในโลก เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น คลื่นความร้อน และการเสื่อมสภาพของทรัพยากรทางทะเล ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัว เช่น การปรับเวลาท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาล และการใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์
การปรับเวลาท่องเที่ยว เช่น การขยายกิจกรรมสู่ช่วงเวลากลางคืน สามารถช่วยลดผลกระทบจากอากาศร้อนจัดได้ ส่วนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จะช่วยลดการพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น การจัดงานเทศกาล การแสดง และการออกแบบ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดนักท่องเที่ยว
เมืองใหญ่ๆ ของไทย เช่น กรุงเทพฯ ยังขาดความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น ภัยร้อน น้ำท่วม และน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนระยะยาว การลงทุน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการปรับเมืองให้มีความยืดหยุ่น โดยเน้นมาตรการที่สร้างประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การใช้พื้นที่สีเขียว และการกำหนดแนวถอยร่นจากพื้นที่เสี่ยง
การเงิน ประกันภัย ต้องพร้อมรับมือความเสี่ยง
ภาคการเงินและประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสามารถระดมทุน บริหารความเสี่ยง และส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนา เช่น การขาดแคลนข้อมูล ความเชี่ยวชาญ และแรงจูงใจ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาตลาด ส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความตระหนักรู้
ตัวอย่างบทบาทของภาคการเงินและประกันภัย เช่น การออกพันธบัตรสีเขียว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับภัยพิบัติ และการสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับประเทศไทย แต่ก็เป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทีดีอาร์ไอ เชื่อว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยจะสามารถปรับตัวและสร้างความยั่งยืนได้
#ทีดีอาร์ไอ #โลกเดือด #การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ #ภัยพิบัติ #เศรษฐกิจไทย #เกษตรกรรม #อุตสาหกรรม #การท่องเที่ยว #เมือง #การเงิน #ประกันภัย