C9 ชี้ตลาด Branded Residences เอเชียพุ่งแตะ 2.66 หมื่นล้านเหรียญ!

C9 ชี้ตลาด Branded Residences เอเชียพุ่งแตะ 2.66 หมื่นล้านเหรียญ!

กรุงเทพฯ, ประเทศไทยC9 Hotelworks เผยรายงาน Branded Residences ในเอเชีย ชี้ตลาดเติบโตอย่างก้าวกระโดด มูลค่าแตะ 26,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเทศไทยครองอันดับหนึ่ง ขณะที่ภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม

นายบิล บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย เปิดเผยว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดBranded Residences อันดับหนึ่งในเอเชีย แซงหน้า จีน สิงคโปร์ และเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วน 23.3% ของมูลค่าตลาดรวม”

Branded Residences คืออะไร?

Branded Residencesคือโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้าน หรือวิลล่า ที่ร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลก โดยส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์โรงแรมหรู เช่น โฟร์ซีซั่นส์ แมนดาริน โอเรียนเต็ล บันยันทรี แต่ปัจจุบันเริ่มมีแบรนด์จากหลากหลายวงการเข้ามาร่วมมากขึ้น เช่น แบรนด์แฟชั่น แบรนด์รถยนต์ ฯลฯ โดยโครงการ Porsche Design Tower Bangkok เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ด้วยราคาขายที่สูงถึง 15 – 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปัจจัยหนุนตลาด Branded Residences ในไทย

  • ความต้องการที่อยู่อาศัยลักชัวรีในเมืองพุ่ง: หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนหันมาใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีเพิ่มสูงขึ้น
  • แบรนด์สร้างมูลค่าเพิ่ม: การพัฒนาโครงการร่วมกับแบรนด์ดัง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและราคาพรีเมียมให้กับโครงการ เช่น โครงการ Mandarin Oriental Residences มีราคาสูงกว่าโครงการอื่นในระดับเดียวกันเกือบ 40%
  • ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ: ชาวต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้ ประกอบกับประเทศไทยมีจุดแข็งด้านไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และระบบวีซ่าที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย จึงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะจากสิงคโปร์ ยุโรปตะวันออก และประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวต่างชาติ

แนวโน้มตลาด Branded Residences ในอนาคต

  • จำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว: คาดว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จำนวนยูนิต Branded Residences ในเอเชียจะเพิ่มขึ้นจาก 40,000 ยูนิต เป็น 80,000 – 90,000 ยูนิต โดยเวียดนามมีจำนวนยูนิตที่รอเปิดตัวมากที่สุด (11,390 ยูนิต) รองลงมาคือไทย (12,656 ยูนิต)
  • โครงการ Standalone Residences มาแรง: เดิมทีBranded Residences มักเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโรงแรม (86%) แต่ในอนาคต จะมีโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Standalone Residences ที่แยกตัวออกมาจากโรงแรมมากขึ้น (30%) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย
  • แบรนด์จากหลากหลายวงการ: นอกจากแบรนด์โรงแรม จะเห็นแบรนด์จากวงการอื่นๆ เช่น แฟชั่น รถยนต์ ไลฟ์สไตล์ เข้ามาพัฒนาโครงการ Branded Residences มากขึ้น คิดเป็น 5% ของตลาด โดย 90% เป็นโครงการในเมือง
  • ราคาในเมืองสูงกว่า: ราคาBranded Residences ในเมืองสูงกว่าในพื้นที่ตากอากาศ เช่น ในเกาหลีใต้ คอนโดมิเนียมในเมืองมีราคาสูงกว่าคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตากอากาศเกือบสามเท่า ส่วนในไทย คอนโดมิเนียมในเมืองมีราคาเฉลี่ย 8,323 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตารางเมตร เทียบกับ 4,614 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตารางเมตรสำหรับคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตากอากาศ

โอกาสของผู้ประกอบการไทย

นายบาร์เน็ตต์ กล่าวว่า “การเติบโตของตลาดBranded Residences เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีศักยภาพสูง” โดยภูเก็ตมีจำนวนยูนิตBranded Residences มากที่สุดในเอเชีย (4,771 ยูนิต) รองลงมาคือมะนิลาและกรุงเทพฯ

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดBranded Residences ถือเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดระดับลักชัวรี ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการแข่งขัน ทั้งในด้านทำเลที่ตั้ง ไลฟ์สไตล์ และต้นทุนการพัฒนาโครงการ

เจาะกลุ่มลูกค้าหลากหลาย: ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาโครงการ Branded Residences เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มครอบครัว กลุ่มคนทำงาน กลุ่มนักลงทุน โดยเน้นการออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม เช่น โครงการสำหรับครอบครัว อาจเน้นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ สวนสาธารณะ และกิจกรรมสำหรับเด็ก ขณะที่โครงการสำหรับนักลงทุน อาจเน้นการบริหารจัดการผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า

สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม: นอกจากการร่วมมือกับแบรนด์ดัง ผู้ประกอบการไทยควรนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ เช่น ระบบบ้านอัจฉริยะ การจัดการพลังงาน พื้นที่สีเขียว และการออกแบบที่ยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และเพิ่มความน่าสนใจให้กับโครงการ

ขยายโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ: ด้วยชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการไทย การขยายธุรกิจBranded Residences สู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ประเทศในกลุ่ม CLMV หรือภูมิภาคอื่นๆ เป็นโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้ โดยอาศัยจุดแข็งด้านการบริหารจัดการ การออกแบบ และการบริการ เพื่อสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขัน

สำหรับนักลงทุน

การลงทุนในBranded Residences เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงจากราคาพรีเมียม และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในโรงแรมเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลโครงการ ทำเล และศักยภาพของแบรนด์ ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยแบรนด์ Wyndham Hotels & Resorts เป็นแบรนด์ที่มีจำนวนยูนิตBranded Residences มากที่สุด รองลงมาคือ The Ascott Limited, Banyan Group และ Marriott International

ทั้งนี้Branded Residences เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนสูงและความมั่นคง ด้วยปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแบรนด์ ทำเลที่ตั้ง และศักยภาพในการเติบโตของตลาด

ผลตอบแทนที่คุ้มค่า: การลงทุนในBranded Residences มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการขายต่อในอนาคต เนื่องจากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการในทำเลที่ดี และมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างรายได้จากการปล่อยเช่า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ต้องการที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ และบริการระดับโรงแรม

ลดความเสี่ยง: การลงทุนในBranded Residences มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในโรงแรมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีรายได้จากการขาย ช่วยลดความผันผวนของรายได้จากธุรกิจโรงแรม ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด

ลงทุนในแบรนด์ชั้นนำ: นักลงทุนควรพิจารณาเลือกโครงการBranded Residences จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพ มาตรฐาน และผลตอบแทนจากการลงทุน โดยควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบ และวิเคราะห์ศักยภาพของแต่ละแบรนด์ ก่อนตัดสินใจลงทุน

#BrandedResidences #อสังหาริมทรัพย์ #ลักชัวรี #คอนโด #ลงทุน #ต่างชาติ #ไทย #C9Hotelworks #Porsche #FourSeasons #MandarinOriental #ภูเก็ต #พัทยา #Wyndham #Ascott #BanyanTree #Marriott

Related Posts