MINT เร่งดัน ROIC พุ่งเกินเป้า 12%-เล็งออก REIT 1.5 พันล้านดอลล์

MINT เร่งดัน ROIC พุ่งเกินเป้า 12%-เล็งออก REIT 1.5 พันล้านดอลล์

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ประกาศผลงานปี 67 สุดแกร่ง กำไรทุบสถิติ โต 43% พร้อมเผยแผนปี 68-72 เดินหน้าขยายอาณาจักรโรงแรม-ร้านอาหารทั่วโลก ชูจุดแข็งแบรนด์ดัง-กลยุทธ์ Asset Right ตั้งเป้า ROIC ทะลุ 12% เล็งออก REIT มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เสริมแกร่งฐานะการเงิน

กรุงเทพฯ – ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) โชว์ฟอร์มเหนือชั้น ประกาศผลประกอบการปี 2567 สุดแข็งแกร่ง ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7.8 พันล้านบาท เติบโต 43% พร้อมกำไรสุทธิหลัก 8.4 พันล้านบาท โต 18% ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารระดับโลก เดินหน้าขยายธุรกิจเชิงรุก ตั้งเป้าเพิ่มโรงแรมอีก 280 แห่ง ร้านอาหารอีก 1,500 สาขา ภายในปี 2570 พร้อมเปิดตัวเรือสำราญหรูแบรนด์ “อนันตรา” เสริมทัพธุรกิจท่องเที่ยว

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าปี 2024 เป็นปีที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของไมเนอร์ที่ 7.8 พันล้านบาท เติบโต 43% และกำไรสุทธิหลักของเราอยู่ที่ 8.4 พันล้านบาท ซึ่งเติบโต 18% จากปีที่แล้ว ดังนั้นปี 2024 จึงเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา และทุกๆ ปี เราได้ทำลายสถิติ และปีที่แล้วก็เป็นปีที่สูงที่สุดอีกครั้ง

เรายังได้เพิ่มโรงแรมใหม่ประมาณ 30 แห่งในพอร์ตโฟลิโอของเราในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาบริหารจัดการ และโรงแรม 30 แห่งนี้ มีจำนวนห้องพักประมาณ 3,000 ห้อง นอกจากนี้ เรายังเปิดร้านอาหารเพิ่มอีก 80 ร้าน นอกเหนือจากที่เรามีอยู่เดิมสำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร และอย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอาหารของเราเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์ ก็เป็นหนึ่งในบริษัทโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ติดอันดับกลุ่มโรงแรมชั้นนำของโลก

“หนึ่งในสิ่งที่เราทำคือการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งลดลงจาก 1 เหลือ 0.8 ในปี 2024 เนื่องจากเรายังคงมุ่งเน้นที่จะลดหนี้สินในปีต่อๆ ไป ในปีนี้เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถลดหนี้สินได้ตลอดทั้งปี และเป้าหมายของเราในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องการลดหนี้สิน ผมคิดว่านี่เป็นการสรุปภาพรวมคร่าวๆ และทบทวนความสำเร็จในปี 2024”

ในปี 2024 การเติบโตของกำไรประจำปี เราคาดการณ์ว่าไมเนอร์จะมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 15-20% ปีที่แล้วเราทำได้ 18% แม้ว่าจะเป็นปีที่ท้าทายด้วยปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ทั้งสงครามในตะวันออกกลาง ความซบเซาในจีน ปัญหาและสงครามในยูเครนและรัสเซีย รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ แต่ถึงกระนั้น ไมเนอร์ก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานของเราในปีที่แล้วก็เติบโต 18% ในแง่ของกำไร ซึ่งเป้าหมายของเราคือ 15-20% ดังนั้นเราจึงบรรลุเป้าหมายนั้น

ประการที่สองคือ เราจะทำให้งบดุลของเราแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร เราตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2024 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ 0.8 และเราก็ทำได้ตามนั้น เรามีการหมุนเวียนสินทรัพย์ มีการรีไฟแนนซ์ และเรายังคงลดหนี้สินในงบดุลอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ซึ่งเป็นการวัดผลอีกอย่างหนึ่งที่เราใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือส่วนใหญ่ก็ใช้ตัวชี้วัดนี้

เราตั้งเป้าหมายว่าจะลดตัวเลขนี้ลง และเป้าหมายของเราสำหรับปี 2024 คือ 4.3 และเราก็ทำได้ 4.3 ตัวเลขนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เราเชื่อว่าตัวเลขนี้จะลดลงต่ำกว่า 4 อีกตัวชี้วัดหนึ่งที่เราใช้คือผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROIC) ซึ่งคำนวณจากเงินที่เราลงทุนและผลตอบแทนที่เราได้รับ เป้าหมาย ROIC ของเราคือ 10% ภายในปี 2026 แต่ในปี 2024 เราทำได้ 10.5% แล้ว ดังนั้นเราจึงทำได้เกินเป้าหมาย ROIC ที่ตั้งไว้ และประการสุดท้ายคือ เราจะลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างไร เราสามารถลดช่องว่างระหว่างกำไรหลักและกำไรที่รายงานได้

เนื่องจากมีความแตกต่างระหว่างกำไรหลักและกำไรที่รายงานอยู่เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 เราสามารถรับรู้กำไรสุทธิได้มากกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งช่วยลดช่องว่างดังกล่าวได้ โดยรวมแล้ว เราทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2024 และปี 2025 ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง ทั้งในส่วนของโรงแรมและอาหาร

MINT

ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จ:

MINT เปิดเผยว่าความสำเร็จในปี 2567 เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งหลายประการ รวมถึง:

  • การเติบโตของกำไร: บริษัทฯ สามารถทำกำไรเติบโตได้ถึง 18% แม้เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
  • การบริหารจัดการทางการเงิน: MINT ประสบความสำเร็จในการลด D/E และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ได้ตามเป้าหมาย
  • ผลตอบแทนจากการลงทุน: บริษัทฯ สามารถทำผลตอบแทนจากเงินลงทุน (ROIC) ได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยทำได้ถึง 10.5%
  • การบริหารความเสี่ยง: MINT สามารถลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และลดช่องว่างระหว่างกำไรหลักและกำไรที่รายงาน

ในปี 2024 อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้รับเกียรติและโชคดีมากที่ได้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ White Lotus ซีซั่น 3 ผมคิดว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่นี่คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับ White Lotus ซีซั่น 3 เพราะมันได้นำประเทศไทยไปสู่อีกระดับหนึ่ง ปรับภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

ซึ่งสิ่งนี้ช่วยเราได้มาก และอย่างที่ทราบกันว่าซีรีส์ White Lotus ซีซั่น 3 ถ่ายทำในโรงแรมในเครือของเราทั้งหมด ได้แก่ โฟร์ซีซั่นส์ เกาะสมุย ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือของ MINT, อนันตรา ลาวาณา เกาะสมุย รีสอร์ท ซึ่งเป็นโรงแรมที่บริหารโดยไมเนอร์ภายใต้แบรนด์อนันตรา, อนันตรา ไม้ขาว ภูเก็ต วิลล่าส์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของ MINT และอนันตรา บ่อผุด เกาะสมุย รีสอร์ท ซึ่งก็เป็นของ MINT เช่นกัน

โดยภาพยนตร์จะออกฉายในสัปดาห์นี้ แต่เราได้เห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ผู้คนพูดถึง White Lotus อยากเห็นสถานที่ถ่ายทำ อยากสัมผัสประสบการณ์นั้น และในภาพยนตร์ เราเห็นอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งมากสำหรับเรา ดังนั้นเราเชื่อว่าสิ่งนี้จะดำเนินต่อไปในปีนี้และปีต่อๆ ไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันจะปรับตำแหน่งของประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ แทนที่จะเป็นเพียงสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์และนักท่องเที่ยวระดับล่าง

“ดังนั้น ผมคิดว่าเมื่อภูมิทัศน์การท่องเที่ยวในประเทศไทยเปลี่ยนไป เรากำลังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ แน่นอนว่าทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในห้าจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก และสิ่งนี้จะช่วยให้เราดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์จากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่นๆ เข้ามาในประเทศไทย และจ่ายค่าบริการในอัตราที่สูงขึ้น”

เป้าหมายอนาคตที่ชัดเจน

“สำหรับปี 2027 เรากำลังพูดถึงการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอของเรา เราจะเพิ่มโรงแรมอีก 280 แห่ง นอกเหนือจากพอร์ตโฟลิโอที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน เราจะเพิ่มร้านอาหารอีก 1,500 ร้านในกลุ่มธุรกิจอาหารของไมเนอร์ และมากกว่า 50% ของการเติบโตนี้จะมาจากกลยุทธ์ ‘asset right’ เนื่องจากไมเนอร์ยึดมั่นในกลยุทธ์ ‘asset right’ มาโดยตลอด และผมคิดว่าเนื่องจากปัจจุบันแบรนด์ของเราแข็งแกร่งมาก แบรนด์มีมูลค่า (equity) มาก ดังนั้นแบรนด์ของเราจึงสามารถขยายไปยังประเทศใหม่ๆ ภูมิภาคใหม่ๆ ภายใต้สัญญาบริหารจัดการ ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินทุนของเราเอง ดังนั้นจึงช่วยให้เรารักษาเงินสดไว้ได้ และยังช่วยให้เราเข้าสู่พื้นที่ที่มีอัตรากำไรสูงอีกด้วย

ดังนั้น มากกว่า 50% ของการเติบโตนี้จะมาจากกลยุทธ์ ‘asset right’ ในแง่ของการเติบโตทางการเงิน เราคาดว่ารายได้จะเติบโตในระดับสูง (high single digit) อย่างที่ทราบกันดีว่าเรามีฐานรายได้ที่สูงมากในปัจจุบัน แต่เราจะเพิ่มรายได้ของเราอีกครั้งในระดับสูง กำไรของเราจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 15-20% CAGR ซึ่งเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด

“และเป้าหมายสำคัญคือการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้เหลือ 0.75 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 4 เท่า ด้วย ROIC เป้าหมายของเราคือการทำให้ ROIC สูงถึง 12% เนื่องจากเราบรรลุเป้าหมายของเราในปี 2024 แล้ว ดังนั้นเราจึงเพิ่มเป้าหมายของเราภายในปี 2027 เพื่อให้บรรลุ ROIC มากกว่า 12%”

“นี่คือพื้นที่บางส่วนที่เรามีโรงแรมอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรามีอยู่สำหรับ MINT รวมถึงเรือสำราญและรถไฟสุดหรู ซึ่งเราจะประกาศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเกี่ยวกับการเปิดตัวเรือสำราญหรูอนันตรา นอกเหนือจากเรือสำราญที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังมีเรือโบเฮนในลาว เรายังมีเรือลอยลำในกรุงเทพฯ แต่สิ่งที่เราวางแผนจะทำคือ เราจะสร้างแบรนด์เรือสำราญหรูอนันตราให้เป็นแบรนด์เรือสำราญระดับบนสุด ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการท่องเที่ยวแบบช้า (slow travel) และพื้นที่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจอย่าง สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรายังไม่มีโรงแรมในสหรัฐฯ

MINT

นอกจากโรงแรมแห่งหนึ่ง เราหวังว่าจะขยายธุรกิจไปที่นั่นมากขึ้น อย่าง เม็กซิโก เราจะมีโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต เติร์กส์และเคคอส คิวบา ซึ่งก็เป็นโครงการใหม่ในอนาคต ในตะวันออกกลางและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรามีบาห์เรน โอมาน กาตาร์ ที่กำลังจะเปิด สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เราเพิ่งลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ Royal Holdings เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และหวังว่าจะเปิดตัวแบรนด์ของเราที่นั่น ขณะที่ อินเดีย เราก็กำลังสำรวจโรงแรมใหม่ๆ เช่นกัน เราเปิดโรงแรมแห่งหนึ่งในอินเดียไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเราก็มีโครงการที่แข็งแกร่งในซาอุดีอาระเบียเช่นกัน”

“และสุดท้าย ผมคิดว่านี่คือแผนงานของเรา ปี 2024 ปีที่แล้ว เรามีโรงแรม 562 แห่ง และร้านอาหาร 2,699 แห่ง หรือเกือบ 2,700 แห่ง ในปี 2027 เราตั้งเป้าที่จะมีโรงแรม 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่ง ผมคิดว่าแผนงานของเราค่อนข้างแข็งแกร่งสำหรับโรงแรม และในปี 2029 เป้าหมายของเราคือการมีโรงแรมประมาณ 1,000 แห่ง และร้านอาหาร 4,500 แห่ง นี่คือสิ่งที่เราคาดการณ์ว่าไมเนอร์จะกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักทั้งในภาคโรงแรมและภาคอาหารในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

แผนขยายธุรกิจเชิงรุก:

MINT วางแผนขยายธุรกิจเชิงรุกในอีก 5 ปีข้างหน้า (2568-2572) โดยตั้งเป้าหมาย:

  • เพิ่มจำนวนโรงแรม: ขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมเพิ่มอีก 280 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2570 ทำให้มีโรงแรมในเครือรวม 850 แห่ง และเพิ่มเป็น 1,000 แห่งภายในปี 2572
  • ขยายเครือข่ายร้านอาหาร: เพิ่มจำนวนร้านอาหารอีก 1,500 สาขา ภายในปี 2570 ทำให้มีร้านอาหารในเครือรวม 4,000 แห่ง และเพิ่มเป็น 4,500 แห่งภายในปี 2572
  • เน้นกลยุทธ์ “Asset Right”: การเติบโตมากกว่า 50% จะมาจากกลยุทธ์ Asset Right หรือการขยายธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด แต่ใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของแบรนด์ในการทำสัญญาบริหารจัดการ
  • เปิดตัวเรือสำราญหรู: เตรียมเปิดตัวเรือสำราญหรูภายใต้แบรนด์ “อนันตรา” เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดท่องเที่ยวระดับบน และเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Slow Travel
  • ขยายฐานลูกค้า High-End: การได้เป็นสถานที่ถ่ายทำ White Lotus ซีซั่น 3 ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Demand ในการเข้าพักของโรงแรมและอัตราค่าห้องพักที่เพิ่มสูงขึ้น

เป้าหมายทางการเงิน:

MINT ตั้งเป้าหมายทางการเงินที่สำคัญ ดังนี้:

  • การเติบโตของรายได้: เติบโตในระดับสูง (High Single Digit)
  • การเติบโตของกำไร: เติบโต 15-20% ต่อปี (CAGR)
  • ลด D/E: ลด D/E ลงเหลือ 0.75
  • ลดหนี้สินต่อ EBITDA: ลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 4 เท่า
  • เพิ่ม ROIC: เพิ่ม ROIC เป็น 12% ภายในปี 2570 (จากเดิมที่ทำได้เกินเป้าหมาย 10% ไปแล้วในปี 2567)

แผนการระดมทุน REIT:

“ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า MINT จะมีการเปิดตัวกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในสิ้นปี 2568 นี้ ขึ้นอยู่กับแผนการปรับโครงสร้าง การจัดโครงสร้างของกองทรัสต์ และกฎระเบียบในประเทศไทย ขนาดของกองทรัสต์นี้อยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เรามีเงินสดประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปลดหนี้สินและใช้สำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต”

“เรามีสินทรัพย์หลายประเภทที่เรากำลังพิจารณาว่าจะนำเข้ากองทรัสต์ เราจำเป็นต้องตัดสินใจตามแผนการปรับโครงสร้างว่าส่วนใดของสินทรัพย์ที่เราจะใส่เข้าไปในกองทรัสต์ เราได้ดำเนินการเรื่องนี้มาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว ดังนั้นเราจึงมีความคืบหน้าไปมาก ขึ้นอยู่กับการจัดโครงสร้างกองทรัสต์ตามกฎระเบียบ จากนั้นเราจะตัดสินใจเกี่ยวกับประเภทสินทรัพย์ที่จะมอบหมายให้กับกองทรัสต์”

ทั้งนี้ MINT แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมและอาหารระดับโลก ด้วยผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม แผนการขยายธุรกิจเชิงรุก และเป้าหมายทางการเงินที่ท้าทาย การออก REIT จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ และสนับสนุนการเติบโตในอนาคต

#MINT #ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล #ผลประกอบการ #โรงแรม #ร้านอาหาร #REIT #การลงทุน #หุ้น #เศรษฐกิจ #ท่องเที่ยว #Anantara #WhiteLotus #AssetRight #ROIC #CAGR

Related Posts