บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ปิดปี 2567 สวย โกยรายได้ 2.58 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1.7 พันล้านบาท พร้อมประกาศเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซ-พลังงานหมุนเวียนเต็มสูบ หวังดัน EBITDA จากพลังงานสะอาดแตะ 65% ในปี 2573
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับสากล แถลงผลการดำเนินงานประจำปี 2567 อย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 25,800 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 7,400 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,700 ล้านบาท สะท้อนความสำเร็จในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลงานเด่นปี 2567
ปี 2567 นับเป็นปีที่ BPP สามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า Temple I และ II ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำรายได้ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Thermal assets) ก็ยังคงเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักและสร้างผลกำไร (EBITDA) ที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท
นอกจากนี้ BPP ยังประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด (Operational resilience mitigating market impacts) ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาระดับกำไรสุทธิไว้ได้ที่ 1,700 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
อีกหนึ่งความสำเร็จที่โดดเด่นในปี 2567 คือ การสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์จาก Carbon Emission Allowance (CEA) หรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถึง 28 ล้านหยวน ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าในประเทศจีน
ความสำเร็จเหล่านี้ส่งผลให้ BPP ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ A+ จาก Tris Ratings ด้วยแนวโน้ม “Stable” (มีเสถียรภาพ) และได้รับรางวัล SET ESG Rating 2024 ระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซ-พลังงานหมุนเวียน:
ในการแถลงผลการดำเนินงานครั้งนี้ BPP ยังได้ประกาศแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2568-2573 ซึ่งเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน (Tech-Powered Energy) โดย BPP วางแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน
“เราจะเดินหน้าลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซ ซึ่งถือเป็น Transition fuel ที่สำคัญ” คุณอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว “โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในโรงไฟฟ้าก๊าซอีก 1,500 เมกะวัตต์ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพ”
ควบคู่ไปกับการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซ BPP ยังให้ความสำคัญกับการขยายกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด โดยมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน (Renewables+) ในพอร์ตโฟลิโอให้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage Systems – BESS), เทคโนโลยี Carbon Capture, Utilization, and Storage (CCUS), และโซลูชันดิจิทัลอื่นๆ
เป้าหมาย EBITDA พลังงานสะอาด 65%:
BPP ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างชัดเจน โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่มาจากสินทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Greener assets) ให้มากกว่า 65% ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และตั้งเป้าการเติบโตของ EBITDA รวมมากกว่า 1.8 เท่า ภายในปี 2030 เช่นกัน
-
ความสำคัญของเป้าหมายนี้:
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: การเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในพอร์ตโฟลิโอจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ BPP ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกในการลดภาวะโลกร้อน
- ความยั่งยืนของธุรกิจ: การลงทุนในพลังงานสะอาดเป็นการลงทุนในอนาคต เนื่องจากความต้องการพลังงานสะอาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ: การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนด้านพลังงานสะอาดจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของ BPP ในสายตานักลงทุน, คู่ค้า, และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุน: นักลงทุนและสถาบันการเงินทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น การมีเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจะช่วยให้ BPP สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นและอาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า
-
ที่มาที่ไปของเป้าหมาย:
- วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ: เป้าหมายนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ BPP ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานที่ยั่งยืน
- แนวโน้มของโลก: เป้าหมายนี้สอดคล้องกับแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- นโยบายของภาครัฐ: รัฐบาลในหลายประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ BPP ตั้งเป้าหมายนี้
-
กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง:
- การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน: BPP มีแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, และ BESS
- การพัฒนาเทคโนโลยี: BPP ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น CCUS และโซลูชันดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า
- การปรับปรุงโรงไฟฟ้าเดิม: BPP มีแผนที่จะปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การบริหารจัดการ Carbon Emission Allowance (CEA): BPP บริหารจัดการโควต้าและซื้อขาย CEA
-
สินทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Greener Assets): ในที่นี้ BPP หมายถึงโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewables+) และอาจรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติที่มีเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (เช่น CCUS)
โดย BPP วางแผนการลงทุน (CAPEX) ในช่วงปี 2568-2573 โดยจะจัดสรร 60% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ และอีก 40% สำหรับพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
แผนภาพสัดส่วน EBITDA ที่เปลี่ยนไป: จากข้อมูลที่นำเสนอ BPP มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วน EBITDA ที่มาจากแหล่งพลังงานต่างๆ อย่างชัดเจน โดยในปี 2024 สัดส่วนหลักยังคงมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน (70%) ตามด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซ (30%) แต่ในปี 2030 BPP ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนโครงสร้างนี้ให้โรงไฟฟ้าก๊าซมีสัดส่วน EBITDA มากที่สุด (50%) ตามด้วยพลังงานหมุนเวียน (20%) และโรงไฟฟ้าถ่านหินจะลดลงเหลือเพียง 30%
โอกาสและความท้าทายในตลาดโลก:
BPP เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดพลังงานทั่วโลก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น, การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด, และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดพลังงานก็ยังคงมีความท้าทายที่ BPP ต้องเผชิญและเตรียมพร้อมรับมือ
-
สหรัฐอเมริกา:
- โอกาส:
- Data Center: การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Data Center ในรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการใช้ไฟฟ้าให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง BPP ซึ่งมีโรงไฟฟ้าในเท็กซัสอยู่แล้ว จึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในการคว้าโอกาสนี้
- นโยบายส่งเสริมการผลิต: นโยบายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศ (Reshoring) และการขยายการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง จะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของความต้องการไฟฟ้า
- พลังงานหมุนเวียน: แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคงพึ่งพาพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ แต่ก็มีการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่ง BPP มีความเชี่ยวชาญและมีแผนที่จะขยายการลงทุน
- ความท้าทาย:
- ความผันผวนของราคา: ตลาดไฟฟ้าในสหรัฐฯ (โดยเฉพาะในเท็กซัส) เป็นตลาดเสรีที่มีความผันผวนของราคาสูง BPP จึงต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
- การแข่งขัน: ตลาดพลังงานในสหรัฐฯ มีการแข่งขันสูง BPP ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้เล่นรายอื่น ทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) และบริษัทสาธารณูปโภค (Utility)
- กฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า
- โอกาส:
-
จีน:
- โอกาส:
- ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต (CEA): จีนมีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้ BPP สร้างรายได้จากการขาย Carbon Emission Allowance (CEA) ที่ได้จากการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ
- AI และเทคโนโลยี: การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI และ Big Data ในจีน อาจนำไปสู่ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (Jevons Paradox) ซึ่ง BPP สามารถตอบสนองได้ด้วยโรงไฟฟ้าที่มีอยู่และโครงการใหม่ๆ
- พลังงานสะอาด: รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง BPP จึงมีโอกาสในการขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในจีน
- ความท้าทาย:
- นโยบาย: การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของจีน อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ BPP
- การแข่งขัน: ตลาดพลังงานในจีนมีการแข่งขันสูง และมีผู้เล่นที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก
- DeepSeek & Jevons Paradox
- โอกาส:
-
ไทย:
- โอกาส:
- ความต้องการใช้ไฟฟ้า: ประเทศไทยยังคงต้องการพลังงานไฟฟ้า
- ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า: โรงไฟฟ้า HPC และ BLCP ของ BPP เป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง (High EAF) และมีต้นทุนการผลิตต่ำ ซึ่งทำให้ BPP มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
- ความท้าทาย:
- การปรับลดค่าไฟฟ้า: แม้ว่า BPP จะยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้า แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานของภาครัฐก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
- การแข่งขัน: ตลาดไฟฟ้าในประเทศไทยมีการแข่งขันที่สูงขึ้น จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาด
- โอกาส:
กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง:
BPP ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจพลังงานซึ่งมีความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ บริษัทฯ จึงได้นำกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) มาใช้อย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และสร้างความมั่นคงให้กับกระแสเงินสด
คุณอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP กล่าวย้ำถึงความสำคัญของกลยุทธ์ Hedging ว่า “เราใช้กลยุทธ์ Hedging เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงาน และสร้างความมั่นคงให้กับกระแสเงินสด ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินงานได้อย่างมั่นคงและสามารถลงทุนในโครงการในอนาคตได้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้า Temple I และ II ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี (Merchant Market) ที่ราคาไฟฟ้ามีความผันผวนตามอุปสงค์และอุปทานในแต่ละช่วงเวลา BPP ได้ทำสัญญา Hedging เพื่อล็อกราคาขายไฟฟ้าในอนาคตไว้ในระดับหนึ่ง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และทำให้บริษัทฯ มีรายได้ที่แน่นอนมากขึ้น
จากข้อมูลที่ BPP นำเสนอ จะเห็นได้ว่าบริษัทฯ มีการทำ Hedging สำหรับโรงไฟฟ้า Temple I และ II ในปริมาณ 700 เมกะวัตต์ ในปี 2567 และ 2568 และมีแผนที่จะ Hedging เพิ่มเติมสำหรับปี 2569 โดยตั้งเป้าที่จะ Hedging ประมาณ 50% ของกำลังการผลิต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ
การทำ Hedging ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ BPP สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการ Hedging จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed costs) และภาระดอกเบี้ย (Financial expenses) ได้
นอกจากกลยุทธ์ Hedging แล้ว BPP ยังมีการบริหารความเสี่ยงในด้านอื่นๆ เช่น:
- การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ (Geographic Diversification): BPP มีการลงทุนในหลายประเทศ ทำให้ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
- การกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง (Fuel Diversification): BPP มีโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงหลากหลายประเภท ทั้งถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่ง
- การบริหารจัดการสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA Management): BPP มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement – PPA) ที่มีความชัดเจนและแน่นอน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านรายได้
- การติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ (Risk Monitoring and Assessment): BPP มีกระบวนการติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
จากผลการดำเนินงานที่ดี BPP ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลรวม 0.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งจ่ายไปแล้ว 0.30 บาท และจะจ่ายเพิ่มอีก 0.30 บาท ในช่วงปลายเดือนเมษายน
BPP แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทั้งในด้านผลการดำเนินงานและการเงิน พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานที่ยั่งยืนในระดับสากล ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดควบคู่ไปกับการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
#BPP #บ้านปูเพาเวอร์ #ผลประกอบการ #พลังงาน #โรงไฟฟ้า #พลังงานหมุนเวียน #เทคโนโลยีพลังงาน #หุ้น #การลงทุน #ESG #DataCenter #CCUS #BESS