เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ย้ำไทยฮับไมซ์อาเซียน เตรียมจัด 9 งานใหญ่ปี 68

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ย้ำไทยฮับไมซ์อาเซียน เตรียมจัด 9 งานใหญ่ปี 68

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำระดับโลก เผยทิศทางใหม่ภายใต้แบรนด์ “Messe Düsseldorf for Asia” พร้อมเปิดตัวเครือข่ายการแพทย์ “MEDICARE ASIA” เดินหน้าเสริมแกร่งไทยฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมและธุรกิจไมซ์แห่งอาเซียน เตรียมอัด 9 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมครั้งยิ่งใหญ่ครอบคลุมหลากเซกเตอร์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568 ณ ไบเทค บางนา รับดีมานด์และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคที่กำลังเฟื่องฟู

กรุงเทพฯ – ท่ามกลางพลวัตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภูมิภาค เอเชีย เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ (Messe Düsseldorf) หนึ่งในผู้จัดงานแสดงสินค้าระดับแนวหน้าของโลกจากเยอรมนี ได้ประกาศทิศทางและกลยุทธ์ครั้งสำคัญเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดเอเชีย พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมและธุรกิจไมซ์ (MICE) ที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน โดยเตรียมจัดทัพงานแสดงสินค้านานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ถึง 9 งาน ตลอดปี พ.ศ. 2568

เปิดตัว “Messe Düsseldorf for Asia” และ “MEDICARE ASIA” ปรับโครงสร้างรับการเติบโต

ก้าวสำคัญแรกคือการปรับโครงสร้างองค์กรและการเปิดตัวภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ฟอร์ เอเชีย” (Messe Düsseldorf for Asia) ซึ่งเป็นการรวมเครือข่ายสำนักงานสาขาในจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอยู่ที่สิงคโปร์ การปรับโครงสร้างนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสำนักงานต่างๆ ในเอเชียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นายเกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย (Messe Düsseldorf Asia – MDA) กล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคนี้ว่า “เอเชียเป็นภูมิภาคที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจงานแสดงสินค้าภาคอุตสาหกรรมของเรา เรารู้สึกว่านี่คือศูนย์กลางอำนาจสำหรับทศวรรษหน้า เป็นศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจ การก่อตั้ง เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ฟอร์ เอเชีย แสดงถึงแผนของเราที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเราในเอเชียให้มากยิ่งขึ้น และต้องการที่จะเป็นอิสระจากสำนักงานใหญ่มากขึ้นเล็กน้อย เพราะธุรกิจทั้งหมดเป็นเรื่องท้องถิ่น เราจึงต้องการมุ่งเน้นไปที่เอเชียมากขึ้นที่นี่”

พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดตัว “MEDICARE ASIA” เครือข่ายงานแสดงสินค้าเฉพาะทางด้านการแพทย์ สุขภาพ นวัตกรรม และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญ (Competence Center) บ่มเพาะและผลักดันการเติบโตของงานแสดงสินค้าในกลุ่มนี้ทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น MEDICAL FAIR (เทคโนโลยีการแพทย์และโซลูชันสุขภาพ), MEDICAL MANUFACTURING (วัสดุ ส่วนประกอบ และเทคโนโลยีการผลิตอุปกรณ์การแพทย์) และ REHACARE (โซลูชันเพื่อการฟื้นฟู การป้องกันโรค และอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วย/ผู้สูงอายุ) โดยมีฐานการดำเนินงานหลักจากสิงคโปร์ ก่อนขยายสู่ตลาดสำคัญอื่นๆ เช่น อินเดีย (เดลี, มุมไบ) และจีน (ซูโจว)

“เรามีงานแสดงสินค้าทางการแพทย์มากมายทั่วเอเชียในขณะนี้ และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องมุ่งเน้นไปที่สิ่งนั้นให้มากยิ่งขึ้น และเพื่อให้เป็นอิสระจากดุสเซลดอร์ฟมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่เราก่อตั้ง MEDICARE ASIA ขึ้นมา” นายริงลิ่ง กล่าวเสริม

การปรับกลยุทธ์และการมุ่งเน้นที่ตลาดศักยภาพสูงนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ สามารถสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปี 2567 ด้วยรายได้ทั่วโลกราว 392 ล้านยูโร (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) และทำกำไรได้ประมาณ 60 ล้านยูโร (กว่า 2,400 ล้านบาท)

ทำไมต้อง “เอเชีย” และ “อาเซียน” : ศูนย์กลางอำนาจใหม่แห่งศตวรรษ

การตัดสินใจทุ่มทรัพยากรและปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งเน้นตลาดเอเชีย มีเหตุผลสนับสนุนจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ข้อมูลจากงานนำเสนอชี้ว่า เอเชียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเป็นภูมิภาคการค้าที่มีการบูรณาการสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหภาพยุโรป และมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเอเชียมีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 57% ในปี 2565 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดภายใน

ขณะเดียวกัน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ยังมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและชาติตะวันตก คาดการณ์ว่าการค้าโลกของอาเซียนจะเติบโตขึ้นถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ ตลาดการดูแลสุขภาพในเอเชียยังถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 คิดเป็น 40% ของการเติบโตของภาคส่วนนี้ทั่วโลก ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางและจำนวนประชากรสูงอายุที่คาดว่าจะสูงถึง 1.3 พันล้านคนในปี 2593 ซึ่งต้องการบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

“นี่เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งจริงๆ และเห็นได้ชัดว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น บริษัทต่างชาติจำนวนมากต้องการเข้ามามีส่วนร่วม” นายริงลิ่ง ตั้งข้อสังเกต

สำหรับภูมิภาคอาเซียน มีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2573 และยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตที่แข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน ทำให้ภาคการผลิตในภูมิภาคมีศักยภาพสร้างผลผลิตเพิ่มได้ถึง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และสร้างงานได้ถึง 140,000 ตำแหน่งต่อปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอาเซียนสูงถึง 234 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าจับตามอง โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าเป็นภาคส่วนที่ได้รับ FDI มากที่สุด

ปักธง “ประเทศไทย” : ฮับอุตสาหกรรม ไมซ์ และการลงทุนแห่งอาเซียน

ภายในภูมิภาคอาเซียน เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เล็งเห็นศักยภาพอันโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ โดยให้เหตุผลสนับสนุนหลายประการ ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เติบโตเร็ว มีความสามารถในการแข่งขันติดอันดับ 25 ของโลก (IMD 2024) และมีอันดับด้านนวัตกรรมที่ดี (อันดับ 41 Global Innovation Index 2024) นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติ (MNEs) ชั้นนำจำนวนมาก และเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ (คอมพิวเตอร์), อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกล ซึ่งล้วนเป็นภาคส่วนที่เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ มีความเชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้า

“ประเทศไทยและอินโดนีเซียถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ” นายริงลิ่ง อ้างอิงข้อมูล พร้อมเสริมว่า ภาคการผลิตของไทยมีสัดส่วนต่อ GDP สูงถึง 27% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

รัฐบาลไทยเองก็ได้กำหนดโอกาสในการเติบโตที่สำคัญไว้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์และสุขภาวะครบวงจร ซึ่งการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยถูกจัดเป็น 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง และตลาด Wellness เติบโตเร็วที่สุดในโลก, การส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามนโยบาย BOI, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง รวมถึงรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (คาดเริ่มก่อสร้างปี 2568) และการมุ่งเน้นอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสอดคล้องกับภาคส่วนที่เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ให้ความสำคัญ

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังมีอุตสาหกรรมไมซ์ที่แข็งแกร่ง จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) ในปี 2567 มีนักเดินทางกลุ่มไมซ์กว่า 25 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.48 แสนล้านบาท และในปี 2566 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้านการจัดประชุมเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (ICCA) และมีพื้นที่จัดงานแสดงสินค้าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน (UFI) ซึ่งตอกย้ำความพร้อมของไทยในการรองรับงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติขนาดใหญ่

28 ปีแห่งความมุ่งมั่น สู่ 9 งานใหญ่ในปี 2568

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดประเทศไทย บริษัทได้เข้ามาจัดงานแสดงสินค้าครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) บางนา รวมระยะเวลากว่า 28 ปี “เราไม่ใช่คนใหม่สำหรับประเทศไทย เรามุ่งมั่นกับประเทศไทย และเรามีความสุขมากที่นี่ เราเผชิญกับสิ่งต่างๆ มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง โควิด เราเจอมาหมดแล้ว อุตสาหกรรมมีความยืดหยุ่น และพวกเขาจะกลับมาอย่างแข็งแกร่ง” นายริงลิ่ง ยืนยันถึงความผูกพันที่มีต่อประเทศไทย

ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดไทยและภูมิภาค ในปี 2568 นี้ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จึงเตรียมจัดงานแสดงสินค้านานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ถึง 9 งาน ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม โดยทั้งหมดจะจัดขึ้น ณ ไบเทค บางนา ได้แก่:

  • 14-17 พฤษภาคม 2568: Plastics & Rubber Thailand 2025 (จัดร่วมกับ Informa Markets) งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกและยาง ครั้งที่ 2 เน้นธีม Net Zero และความยั่งยืน
  • 5-7 มิถุนายน 2568: CIOSH Thailand 2025 (จัดร่วมกับ Messe Düsseldorf Shanghai และสมาคมการค้าสิ่งทอแห่งประเทศจีน) งานแสดงสินค้านานาชาติครั้งที่ 2 ด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
  • 10-12 กันยายน 2568: MEDICAL FAIR THAILAND 2025 งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีทางการแพทย์และสุขภาพชั้นนำแห่งภูมิภาค ครั้งที่ 11 ซึ่งจะเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด ขยายพื้นที่เป็น 3 ฮอลล์ กว่า 20,000 ตร.ม. คาดมีผู้แสดงสินค้ากว่า 1,000 ราย จาก 40 ประเทศ และพาวิลเลียนนานาชาติกว่า 20 กลุ่ม ไฮไลท์สำคัญคือโซน Community Care Pavilion, LaunchPad Zone และ Medical Manufacturing Zone
  • 17-20 กันยายน 2568: PACK PRINT INTERNATIONAL 2025 (ครั้งที่ 10) งานแสดงเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จัดร่วมกับสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทยและสมาคมการพิมพ์ไทย และ CorruTec ASIA 2025 (ครั้งที่ 3) งานแสดงนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ลูกฟูก จัดร่วมกับสมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย ทั้งสองงานจัดพร้อมกันเพื่อครอบคลุมห่วงโซ่อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจร
  • 17-19 กันยายน 2568: wire Southeast Asia 2025 (ครั้งที่ 16) งานแสดงเทคโนโลยีลวดและสายเคเบิล, Tube Southeast Asia 2025 (ครั้งที่ 15) งานแสดงเทคโนโลยีท่อและระบบท่อ, GIFA Southeast Asia 2025 (ครั้งที่ 3) งานแสดงเทคโนโลยีการหล่อโลหะ และ METEC Southeast Asia 2025 (ครั้งที่ 3) งานแสดงเทคโนโลยีโลหการ ทั้ง 4 งานนี้จะจัดขึ้นพร้อมกัน ตอบโจทย์อุตสาหกรรมโลหะการและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

GITEX บุกตลาดสุขภาพ ผนึกกำลัง MEDICAL FAIR THAILAND ครั้งแรก

ไฮไลท์พิเศษสำหรับงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 คือการประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการจัดงาน “GITEX DIGI HEALTH BIOTECH Thailand” ควบคู่กันเป็นครั้งแรก โดย GITEX ซึ่งเป็นแบรนด์งานแสดงเทคโนโลยีขนาดใหญ่ระดับโลก จะนำเสนอโซลูชันและนวัตกรรมด้านสุขภาพดิจิทัลและไบโอเทคจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและสตาร์ทอัพในสาขา AI, Cybersecurity, Mobility และอื่นๆ การจัดงานร่วมกันครั้งนี้ ซึ่งบริหารโดย KAOUN International จะช่วยเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน และนำเสนอมิติใหม่ของเทคโนโลยีสุขภาพภายใต้แนวคิด “นิยามใหม่ให้เทคโนโลยีสุขภาพผ่านนวัตกรรมดิจิทัล”

“เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า KAOUN International จะจัดงาน GITEX ร่วมกับ Medical Fair Thailand ซึ่งเป็นการจับคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง” นายริงลิ่ง กล่าว

นำโลกสู่อุตสาหกรรมไทย สร้างโอกาสทางธุรกิจและการเติบโต

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ตอกย้ำว่างานแสดงสินค้าที่จัดขึ้นในประเทศไทยนั้น มีบทบาทสำคัญในการ “นำโลกมาสู่ประเทศไทย” เปรียบเสมือนส่วนต่อขยายของงานแสดงสินค้าระดับโลกในเยอรมนี ทำให้ธุรกิจไทยและอาเซียนเข้าถึงนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักร และโซลูชันระดับโลกได้ง่ายขึ้น เป็นการนำตลาดนานาชาติเข้ามาใกล้บ้าน ช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม สร้างความสามารถในการปรับตัว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่คุณภาพวัสดุ เทคโนโลยีขั้นสูง เครื่องจักรความแม่นยำ และความปลอดภัยมีความสำคัญมากขึ้น

“การจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมที่ประเทศไทย คาดว่าจะดึงดูดผู้แสดงสินค้านานาชาติ ผู้เยี่ยมชมงาน ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำจากภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกกว่า 40,000 ราย นอกเหนือจากการสร้างมูลค่าซื้อขายทางธุรกิจแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนช่วยขยายขีดความสามารถและยกระดับจุดยืนของภาคอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก” นายเกอร์นอท กล่าวสรุป

การเดินหน้าจัดงานแสดงสินค้าครั้งใหญ่ 9 งานในปี 2568 นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของ เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต่อไป

#เมสเซ่ดุสเซลดอร์ฟเอเชีย #งานแสดงสินค้า #อุตสาหกรรม #ไมซ์ #ประเทศไทย #เศรษฐกิจไทย #อาเซียน #ไบเทค #การลงทุน #MedicalFairThailand #PackPrintInternational #CorruTecAsia #wireSoutheastAsia #TubeSoutheastAsia #GIFASoutheastAsia #METECSoutheastAsia #PlasticsRubberThailand #CIOSHThailand #GITEXDigiHealthBiotech

Related Posts