กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) ประเมินค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง แม้แข็งค่าเร็วช่วงก่อนหน้าแต่เป็นผลจากดอลลาร์อ่อน ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ชี้ระยะสั้นมีโอกาสอ่อนค่ากลับไปที่ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์ จากความเสี่ยงสหรัฐฯ กลับมาขึ้นภาษี เศรษฐกิจไทยชะลอตัว และ กนง. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม ระยะยาวยังมีโอกาสแข็งค่าสู่ระดับ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง และราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB Financial Markets (SCB FM) ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมและแนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจับตามอง โดยระบุว่าการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย หากแต่เป็นผลพวงโดยตรงจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาแสดงความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด “ในช่วงแรกที่ (อดีตประธานาธิบดี) ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าขึ้นใกล้เคียงระดับ 35.00 อย่างไรก็ดี หลังจากที่ทรัมป์ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วใกล้เคียงระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์” นายวชิรวัฒน์กล่าว
ปรากฏการณ์นี้ตอกย้ำว่าการเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ โดยตลาดการเงินมองว่าสหรัฐฯ เองอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษี (Tariffs) ที่ตนเองเป็นผู้ริเริ่ม มากกว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ผ่านแนวโน้มการบริโภคและการจ้างงานภายในประเทศที่อาจแย่ลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความกังวลล่าสุดเกี่ยวกับกระแสข่าวความเป็นไปได้ในการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ก่อให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Index) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม SCB FM ประเมินว่าในระยะสั้น ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะกลับไปอ่อนค่าได้ โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ประมาณ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยกดดันสำคัญประกอบด้วย:
- ความเสี่ยงการกลับมาขึ้นภาษีของสหรัฐฯ: มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจตัดสินใจกลับมาบังคับใช้มาตรการทางภาษีบางส่วนอีกครั้ง หลังจากช่วงเวลาผ่อนผัน 90 วันสิ้นสุดลง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียรวมถึงเงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อาจฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าได้บ้าง
- ท่าทีของธนาคารกลางในเอเชีย: คาดการณ์ว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียอาจเลือกที่จะปล่อยให้ค่าเงินของตนเองอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นกลไกช่วยบรรเทา (cushion) ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือทางการจีน ซึ่งดูเหมือนจะมีเจตนาปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลง สะท้อนจากการกำหนดค่ากลางเงินหยวน (CNY fixing) ที่ปรับอ่อนค่าขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้ระดับ 7.20 ต่อดอลลาร์ หลังจากมีการประกาศภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้พยายามรักษาเสถียรภาพค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับประมาณ 7.17-7.18 มาเป็นเวลานานถึง 2 เดือน
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยชะลอตัว: ผลกระทบจากมาตรการภาษี ประกอบกับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก คาดว่าจะส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง SCB FM มองว่า ดุลการค้าของไทยจะปรับตัวแย่ลง ขณะที่ความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจะกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและการผลิต ซึ่งอาจเกิดการชะงักงัน ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีแนวโน้มที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยคาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในการประชุมช่วงปลายเดือนเมษายนนี้
แม้ว่าแนวโน้มระยะสั้นจะชี้ไปที่การอ่อนค่า แต่ SCB FM ยังคงมองว่าในระยะยาว เงินบาทมีโอกาสที่จะกลับมาแข็งค่าได้ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหว ณ สิ้นปีนี้ไว้ที่ราว 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสนับสนุนหลักคือแนวโน้มการอ่อนค่าต่อเนื่องของดัชนีค่าเงินดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อสินทรัพย์ของสหรัฐฯ
ภายใต้สมมติฐานหลัก (Baseline Scenario) ที่ SCB FM มอง คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอ่อนแอลงแต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือเกิดการคลี่คลายของภาวะที่เรียกว่า “US Exceptionalism” (ความเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่อื่น) ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวขึ้นไม่มากนัก โดยอาจอยู่ในช่วง 3-4% ภายใต้สภาวะดังกล่าว คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ 3 ครั้ง นับตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป
การลดดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับความเชื่อมั่นที่ลดลง จะทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงเงินบาท และคาดว่าจะเห็นกระแสเงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งอาจเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศยุโรป และตลาดพันธบัตรของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia)
นอกจากนี้ สกุลเงินหลักอื่นๆ ก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน อาทิ เงินยูโร ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าต่อจากอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐในยูโรโซน และเงินเยน ที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงการคาดการณ์ว่าภาคเอกชนขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มธุรกิจประกันในญี่ปุ่น จะโยกย้ายเงินทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทในระยะยาว คือ ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก โดยล่าสุดราคาทองคำได้พุ่งทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับประมาณ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
SCB FMประเมินว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในระยะต่อไป เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินโลกและบั่นทอนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยหนุนราคาทองคำได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูงนี้ จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมที่ช่วยสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาท
อย่างไรก็ตาม SCB FMยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทแตกต่างไปจากที่ประเมินไว้ ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น หรือความเป็นไปได้ในการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานเฟด
ในกรณีที่สถานการณ์การค้าเลวร้ายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเทศไทยยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้รับการลดหย่อนภาษีลงได้ภายในเดือนกรกฎาคม อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง ประกอบกับแนวโน้มปัจจัยภายในประเทศที่อาจอ่อนแอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ปัจจัยเหล่านี้อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในกรณีฐาน โดยในสถานการณ์ดังกล่าว อาจเห็นค่าเงินบาทกลับไปอ่อนค่าในกรอบ 35.00-36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ในทางกลับกัน หากเกิดกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตัดสินใจปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานเฟดจริง เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (เกิด Bond yields spike) และทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าลงไปทดสอบระดับใกล้เคียง 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
โดยสรุป การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในระยะต่อไปยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ซับซ้อน ทั้งจากภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าและการเงินของสหรัฐฯ ทิศทางสกุลเงินหลักอื่นๆ และราคาทองคำ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ กนง. นักลงทุนและผู้ประกอบการจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อบริหารจัดการความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น
#ค่าเงินบาท #บาทแข็ง #บาทอ่อน #เศรษฐกิจไทย #SCBFM #ธนาคารไทยพาณิชย์ #สหรัฐ #Tariffs #ภาษี #เฟด #Fed #กนง #BOT #ทองคำ #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดการเงิน #วิเคราะห์ค่าเงิน #เศรษฐกิจโลก #วชิรวัฒน์บานชื่น