ทริสเรทติ้ง ชี้ธุรกิจประกันภัยปี 68 โตต่อ ประกันวินาศภัยรับอานิสงส์แผ่นดินไหว

ทริสเรทติ้ง ชี้ธุรกิจประกันภัยปี 68 โตต่อ ประกันวินาศภัยรับอานิสงส์แผ่นดินไหว

 กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ทริสเรทติ้ง คาดการณ์แนวโน้มกลุ่มธุรกิจประกันภัยไทยปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าทั้งธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตจะขยายตัวในอัตรา 2-3% ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละกลุ่มธุรกิจ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นก็ตาม

ประกันวินาศภัย: แผ่นดินไหวหนุน-รถ EV ดัน-สัตว์เลี้ยงมาแรง

ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2568 จะเติบโตราว 2-3% สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ Nominal GDP ที่คาดว่าจะโต 3.3-3.8% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญหลายประการ ประการแรก ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 แม้คาดว่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ที่มีการประกันภัยต่อในสัดส่วนสูง แต่ก็กระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด (Industry All Risk – IAR), และประกันภัยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองมหันตภัย ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และการลด LTV ชั่วคราว ก็มีส่วนช่วยเพิ่มความต้องการประกันอัคคีภัยด้วย

ประการที่สอง มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของประกันภัยรถยนต์ แม้ภาพรวมประกันภัยรถยนต์อาจทรงตัว แต่ประกันภัยที่เจาะจงความต้องการเฉพาะกลุ่ม เช่น รถ EV จะได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ค่าสินไหมทดแทนสำหรับประกันภัยรถยนต์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากต้นทุนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

ประการที่สาม กระแสความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดประกันสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) เติบโตอย่างน่าจับตา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของกลุ่มประกันวินาศภัยโดยรวมในปี 2567 ปรับตัวลดลง 12.7% จากปีก่อนหน้า และมีความเสี่ยงที่กำไรอาจถูกกดดันต่อเนื่องในปี 2568 จากค่าสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว และต้นทุนที่สูงขึ้นของประกันภัยรถยนต์ EV แม้ว่าข้อกำหนดการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Co-Payment) ที่เริ่มบังคับใช้กับกรมธรรม์สุขภาพใหม่ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 อาจช่วยลดภาระค่าสินไหมทดแทนในส่วนของประกันสุขภาพได้บ้างก็ตาม โดยเกณฑ์ Co-Payment กำหนดให้ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วน หากมีการเคลมเกินจำนวนครั้งและยอดรวมที่กำหนด เพื่อลดการเคลมที่ไม่จำเป็น

ประกันชีวิต: สุขภาพ-บำนาญ-ยูนิตลิงค์ นำทัพ

สำหรับธุรกิจประกันชีวิต ทริสเรทติ้ง คาดว่าจะเติบโตในระดับ 2-3% เช่นกัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากความต้องการความคุ้มครองด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังคมผู้สูงอายุ และความตระหนักในการวางแผนทางการเงิน ส่งผลให้ประกันชีวิตที่มีสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ทั้งแบบเหมาจ่ายและคุ้มครองโรคร้ายแรง ได้รับความนิยมอย่างสูง ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยระบุว่า เบี้ยประกันภัยสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ (Health Rider) และสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง (CI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ประกันบำนาญยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจ เพื่อรองรับการวางแผนเกษียณในสังคมสูงวัย ขณะเดียวกัน ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) ที่ผสานความคุ้มครองชีวิตเข้ากับการลงทุน ก็สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความคุ้มครองและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น

แม้เผชิญการเติบโตต่ำและการแข่งขันที่รุนแรง กลุ่มประกันชีวิตยังคงสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดีในปี 2567 โดยกำไรสุทธิรวมของอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 23.3% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ลงทุนที่ลดลง และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนที่รับรู้สูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าในปี 2568 กลุ่มประกันชีวิตจะยังคงทำกำไรได้ โดยอาศัยกลยุทธ์การขายประกันเฉพาะด้าน การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รอบคอบ การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การควบคุมต้นทุน และการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลและช่องทางออนไลน์ รายได้จากการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็ยังคงเติบโตได้ดี

ภาพรวมอุตสาหกรรมและการแข่งขัน

อุตสาหกรรมประกันภัยไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 5.0% ณ สิ้นปี 2567 (ประกันชีวิต 3.5%, ประกันวินาศภัย 1.5%) ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง ปัจจัยที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าถึงประกันภัย ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีประกันภัย (Insurtech), ความร่วมมือกับสถาบันการเงิน (Bancassurance), ร้านค้าปลีก, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และอีวอลเล็ต ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

ปัจจุบันมีบริษัทประกันชีวิต 21 บริษัท และประกันวินาศภัย 48 บริษัท (รวมสาขาบริษัทต่างประเทศ) การแข่งขันในอุตสาหกรรมจึงค่อนข้างสูง โดยบริษัทประกันชีวิต 5 อันดับแรกมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 71% ขณะที่บริษัทประกันวินาศภัย 5 อันดับแรกมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50%

ช่องทางการขายหลักสำหรับประกันวินาศภัยยังคงเป็นนายหน้า (Brokers) และธนาคาร (Bancassurance) รวมกันคิดเป็น 79% ในขณะที่ช่องทางอินเทอร์เน็ตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนประกันชีวิต ช่องทางตัวแทน (Agent) ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดที่ 53% ตามมาด้วย Bancassurance ที่ 38%

การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำคัญ: TFRS17 และ Co-Payment

มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 17 (TFRS17) ซึ่งเริ่มใช้ในปี 2568 จะส่งผลกระทบต่อวิธีการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายของบริษัทประกันภัย โดยเปลี่ยนจากการรับรู้รายได้ทั้งหมดเมื่อได้รับเบี้ย เป็นการทยอยรับรู้ตลอดอายุสัญญา และแยกการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมการบริหารออกจากผลตอบแทนการลงทุนในบางผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราส่วนทางการเงิน เช่น ROA และ ROE มีแนวโน้มลดลงในช่วงแรก และมีความผันผวนมากขึ้น แต่จะช่วยให้การเปรียบเทียบผลประกอบการมีความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น

ขณะที่ข้อกำหนดการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Co-Payment) สำหรับประกันสุขภาพ มีเป้าหมายเพื่อควบคุมค่าสินไหมทดแทนที่สูงขึ้น แต่จะไม่กระทบความคุ้มครองโรคร้ายแรง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อบริษัทประกันในการควบคุมค่าใช้จ่าย และอาจช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันสุขภาพในระยะยาว

ความเสี่ยงและความท้าทาย

แม้แนวโน้มโดยรวมจะเป็นบวก ธุรกิจประกันภัยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายประการ ได้แก่

  • ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: กำลังซื้อที่อ่อนแอจากหนี้ครัวเรือนสูง เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า อาจกดดันการเติบโตของเบี้ยประกันและนำไปสู่การแข่งขันด้านราคา
  • ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ: ความถี่และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของภัยธรรมชาติ สร้างความท้าทายในการบริหารความเสี่ยง
  • ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์: ความตึงเครียดระหว่างประเทศอาจกระทบการค้าการลงทุน และการเติบโตของประกันภัยที่เกี่ยวข้อง
  • ความเสี่ยงด้านนโยบายภาครัฐ: ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความล่าช้าของงบประมาณ อาจกระทบความต้องการประกันภัยในโครงการขนาดใหญ่
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ อาจเพิ่มภาระต้นทุน และต้องอาศัยการปรับตัวของบริษัทประกัน

โดยสรุป ธุรกิจประกันภัยไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะตัวในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ทั้งโอกาสจากความต้องการความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ และความตระหนักด้านสุขภาพและการวางแผนการเงินที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังต้องบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้านอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ การลงทุน และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตอย่างยั่งยืน

#ธุรกิจประกันภัย #ประกันชีวิต #ประกันวินาศภัย #ทริสเรทติ้ง #แนวโน้มเศรษฐกิจ2568 #ประกันสุขภาพ #ประกันรถยนต์EV #ประกันภัยพิบัติ #TFRS17 #CoPayment #ประกันภัยไทย

Related Posts