ประธานและซีอีโอกลุ่มปิโตรนาส เปิดฉากเวที Energy Asia 2025 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ชี้โลกกำลังเผชิญกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” (Poly-crisis) จากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปฏิวัติทางเทคโนโลยีของ AI เรียกร้องให้เอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลก ต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สมดุลและเป็นจริง โดยเน้นย้ำว่า “จะไม่มี Net Zero หากปราศจากเอเชีย” พร้อมเสนอ 3 แนวทางหลัก คือ การกระจายแหล่งพลังงาน, การระดมทุนมหาศาล และความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงานไปพร้อมกัน
กรุงกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – ท่ามกลางการรวมตัวของผู้นำและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมพลังงานจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เวทีการประชุม “Energy Asia 2025” ครั้งที่ 2 ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีบรรยากาศที่สะท้อนถึงความท้าทายและความเร่งด่วนที่โลกกำลังเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในการกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ปิโตรนาส (PETRONAS) และประธานการจัดงาน Energy Asia ได้ฉายภาพความเป็นจริงของภูมิทัศน์พลังงานโลกที่ซับซ้อนและเปราะบางกว่าที่เคยเป็นมา พร้อมทั้งชูบทบาทที่สำคัญยิ่งของทวีปเอเชียในฐานะผู้กำหนดทิศทางอนาคตพลังงานของโลก
โลกเผชิญ “Poly-crisis” วิกฤตซ้อนวิกฤตที่ท้าทายทุกมิติ
ประธานปิโตรนาสได้ให้คำจำกัดความของสถานการณ์โลกปัจจุบันว่าเป็น “Poly-crisis” หรือ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ซึ่งเป็นภาวะที่โลกไม่ได้เผชิญกับวิกฤตการณ์เพียงด้านเดียว แต่เป็นวิกฤตการณ์หลายมิติที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงกันอย่างลึกซึ้ง สร้างความผันผวนและไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เมื่อสามปีก่อน โลกที่เราอาศัยอยู่นั้นแตกต่างออกไปมาก เราเพิ่งฟื้นตัวจากโรคระบาดใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก แต่แล้วเราก็เผชิญกับวิกฤตพลังงานในยุโรปที่ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วโลก แต่ปัจจุบัน สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น”
วิกฤตซ้อนวิกฤตดังกล่าวประกอบด้วยมิติสำคัญหลายประการ ประการแรกคือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้างไปทั่วโลก โดยเฉพาะความตึงเครียดล่าสุดบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงอุปทานพลังงานของโลกถึง 20% ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากความกังวลว่าอุปทานจะหยุดชะงัก สิ่งนี้เกิดขึ้นในขณะที่โลกยังคงบอบช้ำจากผลกระทบของสงครามการค้าและการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กัน ซึ่งทำให้เกิด การแบ่งส่วนของห่วงโซ่อุปทานโลก (Fragmentation) และบีบให้ทุกฝ่ายต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน
ประการที่สองคือ การปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในทุกภาคส่วน การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI ก่อให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยคาดการณ์ว่าความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 415 เทราวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2024 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของการเติบโตของความต้องการไฟฟ้าทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว “ระบบพลังงานทั้งหมดที่เรามีอยู่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้” ประธานปิโตรนาสกล่าว
และประการสุดท้ายคือ การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีความเข้มข้นน้อยลงในบางภูมิภาค ซึ่งคุกคามเป้าหมาย Net Zero ที่เคยตั้งไว้ตั้งแต่ข้อตกลงปารีส แรงกดดันทั้งหมดนี้ได้ผลักให้ระบบพลังงานโลกซึ่งตึงเครียดอยู่แล้วจากความก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษย์ ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างยิ่ง
เอเชีย: หัวใจของสมการพลังงานโลกและความท้าทายที่ซ่อนอยู่
ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าว ทวีปเอเชียกลับโดดเด่นขึ้นมาในฐานะภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำหนดอนาคตพลังงานของโลก เอเชีย-แปซิฟิกเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 60% ของโลก หรือราว 4.8 พันล้านคน เป็นที่ตั้งของ 3 ใน 5 ของเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของโลก ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ ไปจนถึงเวชภัณฑ์
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภูมิภาคนี้มีความทะเยอทะยานที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ห้าของตนเอง และองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับสิ่งนั้นก็ได้ถูกวางไว้แล้ว”
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังภาพการเติบโตที่สวยงามนั้นซ่อนความจริงที่น่ากังวลไว้ นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียม ที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาค ข้อมูลจาก IMF ชี้ว่า GDP ต่อหัวในเอเชีย-แปซิฟิกมีตั้งแต่ระดับสูงสุดที่ 93,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงระดับต่ำสุดที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประชากรกว่า 350 ล้านคนยังเข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างจำกัด และอีก 150 ล้านคนยังไม่มีไฟฟ้าใช้เลย
ความจริงข้อนี้ทำให้ประเด็นเรื่อง “ความสามารถในการจ่ายได้” (Affordability) และ “ความมั่นคงทางพลังงาน” (Security) ยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับหลายประเทศในเอเชีย แม้จะมีการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงตอบสนองความต้องการหลัก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของการใช้พลังงานในภูมิภาค ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านพลังงานในเอเชียจึงไม่สามารถดำเนินไปในเส้นทางเดียวกับภูมิภาคอื่นได้ แต่ต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและคำนึงถึงความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคม
ทางออก: เปลี่ยนผ่านอย่างสมดุล สู่เป้าหมาย “พลังงานมากขึ้น ปล่อยมลพิษน้อยลง เพื่อประชากรที่เพิ่มขึ้น”
ประธาน ปิโตรนาส ได้เน้นย้ำว่า เป้าหมายด้านความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินควบคู่กันไปและส่งเสริมซึ่งกันและกัน “เราต้องมีแนวทางที่ประสานกันและพิจารณาอย่างรอบคอบ แนวทางที่ไม่ใช่แค่การเอาใจพวกสุดโต่งทางอุดมการณ์ แต่ต้องเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงและให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้”
โจทย์ใหญ่ของโลกในปี 2025 และต่อไปในอนาคตจึงได้ขยายขอบเขตจากเดิมที่ว่า “ต้องการพลังงานมากขึ้น แต่ปล่อยมลพิษน้อยลง” ไปสู่โจทย์ที่ซับซ้อนกว่าคือ “ต้องการพลังงานมากขึ้น ปล่อยมลพิษน้อยลง เพื่อรองรับประชากรที่กำลังเติบโต ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาของสุขภาพของโลกใบนี้”
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ เอเชียจะต้องมีบทบาทนำ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรในเอเชีย-แปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 พันล้านคน และภูมิภาคนี้จะมีความต้องการใช้พลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของความต้องการทั้งโลก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รองรับการใช้ AI และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จำเป็นต้องมีการลงทุนด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียสูงถึง 90 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจนถึงปี 2050
3 เสาหลักเพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของเอเชีย
ในการสรุปสุนทรพจน์ ประธาน ปิโตรนาส ได้เสนอยุทธศาสตร์ 3 ประการที่สำคัญยิ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักในการสร้างอนาคตพลังงานของเอเชีย:
กระจายการผสมผสานแหล่งพลังงาน (Diversify Energy Mix): ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างพอร์ตโฟลิโอพลังงานที่มีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วยเชื้อเพลิงที่มีการปล่อยมลพิษต่ำควบคู่ไปกับการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบลดการปล่อยมลพิษ (Emissions Abated Fuels) ซึ่งหมายถึงการลงทุนในน้ำมันและก๊าซที่มีคาร์บอนต่ำ เชื้อเพลิงชีวภาพที่ยั่งยืน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำหรือศูนย์ และเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางพลังงาน
ขยายขนาดการลงทุนด้านพลังงาน (Scale Up Energy Investments): พลังงานคือเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ การลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสร้างความมั่นคงและทำให้พลังงานมีราคาที่เข้าถึงได้ รัฐบาล สถาบันการเงิน และภาคอุตสาหกรรมต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการและกรอบการทำงานที่ช่วยปลดล็อกเงินทุนสำหรับโครงการพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ซึ่งความต้องการใช้พลังงานกำลังเติบโตแซงหน้าอุปทานอย่างรวดเร็ว
ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก (Foster Regional Collaboration): วิกฤตการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อโลกรวมเป็นหนึ่งเดียว เราสามารถเอาชนะความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ได้ การเปลี่ยนผ่านพลังงานก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในระดับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมาเลเซียจะดำรงตำแหน่งประธานในปี 2025 นี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เสียงของภูมิภาคนี้จะถูกรับฟังโดยผู้นำที่ดูแลประชากรกว่า 700 ล้านคนและเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
“ขอสรุปจุดยืนของปิโตรนาสในขณะที่เราเริ่มต้นการประชุมในวันนี้” ประธานกล่าวทิ้งท้าย “ที่ Energy Asia เราเชื่อว่านี่คือยุคของเอเชีย เราเชื่อว่าจะไม่มี Net Zero หากปราศจากการบรรลุ Net Zero ของเอเชีย เราขอต้อนรับทุกท่านในการช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของเอเชีย”
สุนทรพจน์ดังกล่าวได้กำหนดทิศทางและบรรยากาศของการประชุม Energy Asia 2025 อย่างชัดเจน โดยชี้ให้เห็นถึงความท้าทายอันซับซ้อนที่รออยู่เบื้องหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ปลุกเร้าให้เกิดความหวังและความมุ่งมั่นว่า ด้วยความร่วมมืออย่างจริงจังและแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง ทวีปเอเชียจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตซ้อนวิกฤต และนำโลกไปสู่ยุคใหม่ของพลังงานที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมสำหรับทุกคน
#EnergyAsia #EnergyAsia2025 #PETRONAS #CERAWeek #ข่าวเศรษฐกิจ #พลังงาน #วิกฤตพลังงาน #การเปลี่ยนผ่านพลังงาน #NetZero #เอเชีย #ปิโตรนาส #PolyCrisis #ความมั่นคงทางพลังงาน #การลงทุนพลังงาน #AI